คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2180/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้น จะต้องเป็นการใส่ความผู้อื่นโดยยืนยันข้อเท็จจริงที่ใส่ความนั้นต่อบุคคลที่สามและการใส่ความนั้นน่าจะทำให้ผู้อื่นที่ถูกใส่ความเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ดังนั้น การที่จำเลยถาม ป. ว่ามีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับโจทก์หรือไม่ จึงเป็นเพียงการคาดคะเนของจำเลยเท่านั้น มิใช่เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงอันน่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังแต่ประการใด จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทและข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยกล่าววาจาต่อหน้าโจทก์ จึงไม่ใช่เป็นดูหมิ่นโจทก์ซึ่งหน้า จำเลยไม่มีความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖, ๓๙๓, ๙๑
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้องของโจทก์แล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าถ้อยคำที่จำเลยพูดกับนายประกอบ บุญมาก ตามที่โจทก์กล่าวในฟ้องนั้นจะเป็นหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นโจทก์ซึ่งหน้าหรือไม่ เห็นว่า การที่จะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๒๖ นั้น จะต้องเป็นการใส่ความผู้อื่นโดยยืนยันข้อเท็จจริงที่ใส่ความนั้นต่อบุคคลที่สาม และการใส่ความดังกล่าวนั้นน่าจะทำให้ผู้อื่นที่ถูกใส่ความเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง แต่ปรากฏว่าจำเลยได้กล่าวต่อนายประกอบ บุญมากว่า’ที่กอบได้ข่าวว่ามีอะไรกับติ๋มหรือเปล่า (ติ๋ม หมายถึง ชื่อโจทก์) ถ้ามีความสัมพันธ์ทางชู้สาวก็ขอให้เลิกเสีย มันไม่ดี เพราะติ๋มก็มีผัวอยู่แล้ว คำกล่าวของจำเลยดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยถามนายประกอบ บุญมาก ว่ามีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับโจทก์หรือไม่ เป็นเพียงคาดคะเนของจำเลยเท่านั้น มิได้ยืนยันข้อเท็จจริง อันน่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงหรือถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังแต่ประการใด ฉะนั้น การที่จำเลยกล่าวถ้อยคำดังกล่าวตามที่โจทก์ฟ้องจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ทั้งตามฟ้องไม่ปรากฏว่าจำเลยกล่าววาจาต่อหน้าโจทก์ จึงไม่ใช่เป็นการดูหมิ่นโจทก์ซึ่งหน้าตามที่โจทก์ฟ้อง
พิพากษายืน.

Share