แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ทรัพย์ที่โจทก์ร้องขอให้บังคับคดีเป็นที่ดินมีโฉนดเมื่อโจทก์อ้างว่าเป็นที่ดินของจำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษาแต่จำเลยได้จดทะเบียนโอนให้แก่บุตรของจำเลยโดยสมยอมทำให้โจทก์เสียเปรียบและโจทก์ยืนยันให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินรายนี้เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงต้องยึดที่ดินดังกล่าวการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ร้องขอให้ศาลชั้นต้นกำหนดการเพื่อมิให้ตนต้องรับผิดในค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา283วรรคสามตอนท้ายและศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตแล้วเพียงมีผลทำให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่มีความรับผิดในกรณีที่เกิดความเสียหายต่อบุคคลภายนอกจากการยึดและขายทรัพย์สินโดยมิชอบความรับผิดย่อมตกอยู่แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้นตามมาตรา284วรรคสอง
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกัน แต่ปรากฎว่าจำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตายไปก่อนโจทก์ยื่นฟ้องศาลชั้นต้นจึงจำหน่ายคดีจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์ จำนวน145,836.66 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2525 จนกว่าชำระเสร็จและค่าฤชาธรรมเนียมแต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ขอให้บังคับคดีนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินหลายรายการของจำเลยที่ 1 ต่อมาโจทก์ขอนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 9246 และ 9247 โดยยืนยันว่าเป็นของจำเลยที่ 1แต่ตามสารบาญจดทะเบียนที่ดินโฉนดดังกล่าว ไม่ปรากฎชื่อจำเลยที่ 1เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงไม่ดำเนินการยึดและร้องต่อศาลชั้นต้นขอปลดเปลื้องความรับผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 283 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
โจทก์ยื่นคำร้องว่า ที่ดินทั้งสองแปลงที่โจทก์จะนำยึดเป็นของจำเลยที่ 1 แม้จะมีชื่อเรืออากาศโทขวัญชัย อานุภาพ ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ แต่เรืออากาศโทขวัญชัยรับโอนให้ที่ดินดังกล่าวมาโดยการสมยอมเพื่อทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ การโอนกรรมสิทธิ์ดังกล่าวจึงเป็นโมฆะที่ดินทั้งสองแปลงยังคงเป็นทรัพย์ของจำเลยที่ 1 อยู่ และโจทก์สามารถนำยึดได้โดยไม่ต้องไปฟ้องร้องให้เพิกถอนการโอนเสียก่อนขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาด เพื่อนำเงินมาชำระให้แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องว่า ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 9246, 9247มีชื่อบุคคลอื่นเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ไม่ใช่จำเลยที่ 1 จึงไม่อนุญาตยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยว่า การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ทำการยึดที่ดินพิพาทเป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่โดยโจทก์ฎีกาว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีชอบที่จะยึดทรัพย์สินที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอ้างว่าเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งถ้าทรัพย์สินที่จะยึดไม่ใช่เป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเจ้าหนี้ผู้นำยึดยอมต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 283 วรรคแรก และมาตรา 284 เห็นว่าในการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น เจ้าพนักงานบังคับคดีชอบที่จะยึดหรือขายทรัพย์สินที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอ้างว่าเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 283 วรรคแรก เว้นแต่ทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นเป็นทรัพย์สินประเภทตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 285 และ 286ซึ่งไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี สำหรับคดีนี้ทรัพย์ที่โจทก์ร้องขอให้บังคับคดีเป็นที่ดินมีโฉนด ซึ่งมิใช่ทรัพย์สินประเภทตามมาตรา 285 และ 286 เมื่อโจทก์ได้อ้างว่าเป็นที่ดินของจำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษาแต่จำเลยได้จดทะเบียนโอนให้แก่บุตรของจำเลยโดยสมยอม ทำให้โจทก์เสียเปรียบและโจทก์ยืนยันให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินรายนี้ เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงต้องยึดที่ดินดังกล่าว การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ร้องขอให้ศาลชั้นต้นกำหนดการเพื่อมิให้ตนต้องรับผิดในค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 283 วรรคสอง ตอนท้าย และศาลชั้นต้นมีคำสั่ง “อนุญาต”แล้ว เพียงมีผลทำให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่มีความรับผิดในกรณีที่เกิดความเสียหายจากการยึดโดยมิชอบ มิใช่ปฎิเสธไม่ยึดเสียทีเดียวและหากเกิดความเสียหายต่อบุคคลภายนอกจากการยึดและขายทรัพย์สินโดยมิชอบ ความรับผิดย่อมตกอยู่แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้นตามมาตรา 284 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องโจทก์ที่ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษากลับ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 9246และ 9247 แขวงคลองถนน เขตบางเขน กรุงเทพมหานครตามคำร้องโจทก์