แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษากลับคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นและให้สืบพยานต่อไป เท่ากับให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้สืบพยานต่อไป จึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 กำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้อุทธรณ์ต้องปฏิบัติขณะยื่นอุทธรณ์ เมื่อจำเลยไม่นำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยโดยไม่ให้โอกาสจำเลยเงินค่าธรรมเนียมที่ต้องใช้แทนโจทก์มาวางจึงชอบแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2533 จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ 500,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 14 ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุกวันที่25 ของเดือนจนกว่าจะใช้ต้นเงินหมด กำหนดชำระต้นเงินและดอกเบี้ยทั้งหมด ภายในวันที่ 25 กันยายน 2533 จำเลยได้รับเงินจากโจทก์ครบถ้วนในวันทำสัญญาเมื่อครบกำหนดตามสัญญาจำเลยไม่ชำระดอกเบี้ยและต้นเงินแก่โจทก์ โจทก์ทวงถามหลายครั้งแต่จำเลยเพิกเฉย เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายคิดเป็นดอกเบี้ยตั้งแต่วันทำสัญญาถึงวันฟ้องเป็นเงิน 437,500 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 937,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญากู้เงินกับโจทก์จริง แต่โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน ต้องห้ามตามกฎหมาย ดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกร้องจึงตกเป็นโมฆะและโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เพราะมิได้กำหนดไว้ในสัญญาโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันถัดจากวันฟ้องในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีเท่านั้นโจทก์ไม่เคยทวงถามไปยังภูมิลำเนาของจำเลยขอให้ยกฟ้อง
วันที่ 9 สิงหาคม 2539 ซึ่งเป็นวันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้องและคำให้การแล้ว เห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยาน จึงมีคำสั่งงดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 512,740 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 500,000 บาท นับแต่วันที่ 26 กันยายน 2533 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์คำพิพากษา ส่วนจำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยาน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกอุทธรณ์จำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์แก่จำเลยค่าทนายความชั้นอุทธรณ์สำหรับโจทก์เป็นพับ และพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2533 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 437,500 บาท จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์และของจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ศาลอุทธรณ์รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายกอุทธรณ์จำเลย คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับและพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2533 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 25 เมษายน 2539) ต้องไม่เกิน 437,500 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาทั้งหมดให้เป็นพับนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยชอบหรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้มีเจตนาที่จะไม่วางเงินค่าฤชาธรรมเนียม จำเลยสอบถามเจ้าหน้าที่ศาลแล้ว ได้รับแจ้งว่า ต้องเสียแบบคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันมิอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้คือ 200 บาท เพราะจำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษานั้น เห็นว่า จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษากลับคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นและให้สืบพยานต่อไป เท่ากับให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้สืบพยานต่อไป จำเลยจึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 กฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้อุทธรณ์ที่ต้องปฏิบัติขณะยื่นอุทธรณ์ต่างกับเรื่องค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ ซึ่งกฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่ของศาลที่ต้องเรียกเก็บจากผู้อุทธรณ์ หากผู้อุทธรณ์ยังชำระไม่ครบ ศาลอาจเรียกมาชำระให้ครบได้ เมื่อจำเลยไม่นำค่าธรรมเนียมมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ดังกล่าว จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยโดยไม่ให้โอกาสจำเลยนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แทนโจทก์มาวางนั้น ชอบแล้ว”
พิพากษายืน