คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9740/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทมาโดยการครอบครองปรปักษ์ แม้จะยังมิได้จดทะเบียนการได้มา ก็ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บริษัท ฟ. ผู้ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยไม่สุจริตได้
หลังจากซื้อที่ดินพิพาทมาแล้ว บริษัท ฟ. ได้โอนขายแก่บริษัท ร. ต่อมาบริษัท ร. โอนขายแก่จำเลย โดยจำเลยกับบริษัท ฟ. และบริษัท ร. เป็นบริษัทในเครือเดียวกัน กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนล้วนเป็นบุคคลชุดเดียวกัน การจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทกันเป็นทอด ๆ ตามลำดับดังกล่าว ถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นบุคคลภายนอกผู้ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยสุจริต เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้รับโอนทางทะเบียนแต่ละทอดรับโอนโดยสุจริต สิทธิของโจทก์ผู้ครอบครองปรปักษ์จึงไม่ขาดตอนและสามารถยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้จำเลยซึ่งมิใช่บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยสุจริตได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์ ให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การกับฟ้องแย้งว่า จำเลยจดทะเบียนซื้อที่ดินพิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของบริษัทฟาร์มกรุงเทพ จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินเดิมและครอบครองแทนเจ้าของที่แท้จริงต่อมา โดยไม่เคยแสดงเจตนาเปลี่ยนการครอบครองเป็นเจ้าของ โจทก์ครอบครองที่ดินเนื้อที่เพียง ๒๐๐ ตารางวา และครอบครองไม่ถึง ๑๐ ปี นับแต่จำเลยซื้อที่ดินพิพาทมา จำเลยจึงมีสิทธิดีกว่าโจทก์ จำเลยบอกกล่าวให้โจทก์และบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาท แต่โจทก์เพิกเฉย ทำให้จำเลยเสียหายเพราะสามารถนำที่ดินพิพาทออกให้เช่าได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้องและขับไล่โจทก์กับบริวารออกจากที่ดินพิพาท ห้ามโจทก์เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท และให้ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า บริษัทฟาร์มกรุงเทพ จำกัด บริษัทเจียไต๋ส่งเสริมเกษตรกรรม จำกัด หรือบริษัทรวมโชคเจริญ จำกัด กับจำเลยเป็นบริษัทในเครือเดียวกัน จำเลยและบริษัทดังกล่าวย่อมทราบว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลาเกิน ๑๐ ปี แล้ว จำเลยรับโอนที่ดินพิพาทมาโดยไม่สุจริตและไม่เสียค่าตอบแทน โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทด้วยสิทธิของโจทก์เอง มิใช่เข้ามาเลี้ยงปลาให้บริษัทฟาร์มกรุงเทพ จำกัด แต่อย่างใด โจทก์มีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทโดยชอบ จำเลยไม่เสียหาย หากเสียหายก็ไม่เกินเดือนละ ๕๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้โจทก์กับบริวารออกจากที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ ๑๐๘๕๕๘ ตำบลแพรกษา (แพรกตาสา) อำเภอเมืองสมุทรปราการ (เมือง) จังหวัดสมุทรปราการ และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเดือนละ ๕๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องแย้ง (วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๖) จนกว่าโจทก์จะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาท ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ โดยโจทก์ได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์อย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า… ข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว แม้จะมิได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน แต่เมื่อบริษัทฟาร์มกรุงเทพ จำกัด ซื้อที่ดินจากนายถวิลโดยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ ถือไม่ได้ว่าบริษัทฟาร์มกรุงเทพ จำกัด ซื้อที่ดินมาโดยสุจริต เพราะทราบอยู่แล้วว่ามีผู้ได้สิทธิในอสังหาริมทรัพย์นั้นมาก่อนแล้ว ไม่อยู่ในความหมายของคำว่าสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง แม้โจทก์ยังมิได้จดทะเบียนการได้มาก็ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บริษัทฟาร์มกรุงเทพ จำกัด ได้ นอกจากนี้ยังปรากฏจากคำเบิกความของนายศิริพงษ์และนายอนุชัยพนักงานของจำเลยว่า จำเลยเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ และยังปรากฏตามสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทฟาร์มกรุงเทพ จำกัด สำเนารายงานของผู้สอบบัญชีของบริษัทเจียไต๋ส่งเสริมเกษตรกรรม จำกัด และสำเนางบดุล ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๓๐ สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัทรวมโชคเจริญ จำกัด และสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของจำเลยเอกสารหมาย จ. ๙ ถึง จ. ๑๒ ล้วนมีชื่อนายธนินท์ เจียรวนนท์ และนายมิน เธียรวร เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทเหล่านั้น แม้บริษัทดังกล่าวจะได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากกัน แต่เมื่อกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนล้วนเป็นบุคคลชุดเดียวกัน การดำเนินธุรกิจและการดำเนินนโยบายย่อมจะต้องมีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันและกรณีนี้เป็นการจดทะเบียนโอนที่ดินแก่กันเป็นทอด ๆ ตามลำดับ บริษัทต่าง ๆ ดังกล่าว รวมถึงจำเลย ต้องถือว่าเป็นบุคคลกลุ่มเดียวกันไม่อยู่ในความหมายว่าเป็นบุคคลภายนอก มิฉะนั้นจะเป็นช่องทางให้กลุ่มบริษัทในเครือดำเนินกิจการในลักษณะเอารัดเอาเปรียบบุคคลอื่น ทั้งยังได้ความด้วยว่า เมื่อบริษัทรวมโชคเจริญ จำกัด ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับจำเลยตามเอกสารหมาย ล. ๑๓ แล้ว ได้ไปแจ้งความว่าโจทก์บุกรุกที่ดินแปลงดังกล่าวตามสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย ล. ๑๐ หลังจากนั้นจึงจดทะเบียนโอนที่ดินแก่จำเลย จึงต้องถือว่าจำเลยทราบด้วยว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ก่อนแล้ว ยังไม่พอฟังว่าจำเลยเป็นบุคคลภายนอกผู้ซื้อที่ดินมาโดยสุจริต เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้รับโอนทางทะเบียนแต่ละทอดตามลำดับรับโอนที่ดินมาโดยสุจริต สิทธิของโจทก์ผู้ครอบครองปรปักษ์หาได้ขาดตอนไปแต่อย่างใดไม่ ส่วนข้ออ้างของจำเลยในทำนองว่า เคยมีการเจรจาตกลงกับฝ่ายโจทก์เพื่อให้โจทก์ออกไปจากที่ดินพิพาท จำเลยก็เพียงแต่กล่าวอ้างลอย ๆ มิได้บันทึกไว้เป็นหลักฐานแต่อย่างใด ทั้งฝ่ายโจทก์ก็ปฏิเสธในเรื่องนี้ ข้ออ้างของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ข้อที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ตำหนิว่าการที่บริษัทเจียไต๋ส่งเสริมเกษตรกรรม จำกัด หรือบริษัทรวมโชคเจริญ จำกัด รับโอนที่ดินมาโดยสุจริตหรือไม่นั้น โจทก์มิได้กล่าวอ้างในคำฟ้องหรือกล่าวอ้างไว้ในคำให้การหรือฟ้องแย้งโดยชัดแจ้ง ก็ปรากฏตามคำให้การแก้ฟ้องแย้งของโจทก์ว่า บริษัทฟาร์มกรุงเทพ จำกัด บริษัทเจียไต๋ส่งเสริมเกษตรกรรม จำกัด หรือบริษัทรวมโชคเจริญ จำกัด กับบริษัทจำเลยเป็นบริษัทในเครือเดียวกัน จำเลยและบริษัทดังกล่าวย่อมทราบว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปี จนได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมายแล้ว จำเลยจึงรับโอนที่ดินพิพาทมาโดยไม่สุจริต เป็นการกล่าวแก้ฟ้องแย้งของจำเลยโดยแจ้งชัดว่าบริษัทเจียไต๋ส่งเสริมเกษตรกรรม จำกัด หรือบริษัทรวมโชคเจริญ จำกัด รับโอนที่ดินพิพาทมาโดยไม่สุจริต มิใช่มิได้กล่าวแก้โดยแจ้งชัดดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ วินิจฉัย และข้อที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ยกข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖ ขึ้นอ้างเพื่อประโยชน์แก่บริษัทเจียไต๋ส่งเสริมเกษตรกรรม จำกัด หรือบริษัทรวมโชคเจริญ จำกัด ว่ากระทำการโดยสุจริตนั้น เห็นว่า ได้ความจากพยานหลักฐานโจทก์ดังได้วินิจฉัยมาแล้วว่า บริษัทฟาร์มกรุงเทพ จำกัด ซื้อที่ดินมาโดยไม่สุจริต และบริษัทเจียไต๋ส่งเสริมเกษตรกรรม จำกัด หรือบริษัทรวมโชคเจริญ จำกัด ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทในเครือเดียวกันและรับโอนทะเบียนต่อเนื่องกันมาย่อมต้องทราบความเป็นมาของที่ดิน กรณีไม่อาจถือได้ว่าเป็นบุคคลภายนอกผู้รับโอนโดยสุจริต จึงไม่อาจยกข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖ ขึ้นอ้างเพื่อประโยชน์ของบริษัทดังกล่าวแต่อย่างใด พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักให้รับฟังว่า โจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปี โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ และสามารถยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้จำเลยซึ่งมิใช่บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยสุจริต กรณีไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง โจทก์จึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลย จำเลยไม่มีอำนาจฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง ที่โจทก์มีคำขอให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนั้น เห็นว่า จำเลยไม่มีหน้าที่ในอันที่จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามคำขอของโจทก์ หากแต่เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่ต้องดำเนินการให้มีชื่อของตนในโฉนดที่ดินต่อไป
พิพากษาแก้เป็นว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๘๕๕๘ ตำบลแพรกษา (แพรกตาสา) อำเภอเมืองสมุทรปราการ (เมือง) จังหวัดสมุทรปราการ เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์ ให้ยกคำขอของโจทก์ในส่วนที่ขอให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แก่โจทก์และยกฟ้องแย้งของจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ สำหรับค่าธรรมเนียมศาลที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถานั้น ให้จำเลยนำมาชำระต่อศาลในนามของโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๕๐,๐๐๐ บาท.

Share