แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
++ เรื่อง ความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ++
++ ความผิดต่อพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท
++ ความผิดต่อพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ++
++
++ ทดสอบการทำงานในระบบ CW เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ++
++ ย่อข้อกฎหมายอย่างไม่เป็นทางการ
++ พิมพ์จากสำเนาชุดพิเศษ ++
++
++
++ เมทแอมเฟตามีนที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดไว้เป็นของกลางนอกจากจะบรรจุไว้ในซองพลาสติก ซึ่งมีลักษณะแบ่งแยกไว้จำเพาะแล้ว และยังมีจำนวนถึง 1,140 เม็ด มากเกินกว่าที่จำเลยจะนำมาเสพเอง ส่วนอีเฟดรีนก็มีน้ำหนักประมาณ 5 กิโลกรัม ถือว่าเป็นจำนวนมาก และยังเป็นวัตถุดิบที่ใช้สำหรับผลิตเมทแอมเฟตามีนอีกด้วย ของกลางทั้งสองรายการล้วนเป็นของผิดกฎหมายส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีวัตถุประสงค์จะนำไปใช้ในทางไม่สุจริต โดยเฉพาะอีเฟดรีนที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดได้นั้นส่วนหนึ่งอยู่ในถุงพลาสติกซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าสีดำสำหรับใช้สะพายรวมอยู่ด้วยกับอาวุธปืนของจำเลย จากโต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอน และอีเฟดรีนอีกส่วนหนึ่งอยู่ในกล่องกระดาษบรรจุในถุงหิ้วได้มาจากโซฟานอกห้องนอน ดังนี้ อีเฟดรีนทั้งสองจำนวน จำเลยย่อมรู้เห็นเพราะอยู่ในวิสัยที่จำเลยสามารถค้นหาพบอย่างง่ายดาย เจ้าพนักงานตำรวจยังได้ยึดทรัพย์สินอย่างอื่นของจำเลยอีกจำนวนมาก อาทิ รถยนต์ 4 คัน นาฬิกาข้อมือ ฝังเพชร สร้อยคอทองคำฝังเพชร และแหวนทองคำ เป็นต้น ล้วนแล้วแต่เป็นทรัพย์สินที่มีค่าและราคาแพงตลอดทั้งมีสมุดฝากเงินของธนาคารถึง 5 แห่ง กับบันทึกข้อความสั่งให้จ่ายเงินนับสิบล้านบาท เก็บซุกซ่อนอยู่ในห้องพักคอนโดมิเนียมที่จำเลยเช่าอยู่กับภริยาลำพัง2 คน หรือรถยนต์ราคาแพงที่จอดไว้ที่ลานจอดรถ ทรัพย์สินเหล่านั้นทั้งหมดเมื่อมาเปรียบเทียบกับอาชีพการงานของจำเลยเกินกว่าฐานะตามที่ควรจะเป็น ส่อแสดงให้เห็นว่าการได้มาซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวมีพิรุธและไม่สุจริต พฤติการณ์ดังที่กล่าวมาเบื้องต้นและจากการสืบทราบของเจ้าพนักงานตำรวจว่าจำเลยมีการลักลอบจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ ย่อมมีน้ำหนักมั่นคงฟังได้ว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลางไว้เพื่อจำหน่าย โจทก์หาจำต้องมีประจักษ์พยานให้เห็นว่า จำเลยเป็นผู้จำหน่ายยาเสพติดให้โทษมาก่อนเกิดเหตุไม่
โทรศัพท์เคลื่อนที่และวิทยุติดตามตัวของกลาง จำเลยได้นำมาใช้เป็นอุปกรณ์สื่อสารให้ได้รับผลในการกระทำความผิดนอกเหนือจากการใช้สื่อสารตามปกติธุระของจำเลย ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 29, 30 ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจให้ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่และวิทยุติดตามตัวของกลางเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดชอบแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ จำนวน ๑,๑๔๐ เม็ดน้ำหนักสุทธิรวม ๑๐๑.๙ กรัม คำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ได้ ๑๙.๔ กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งอีเฟดรีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๒ จำนวน ๒ ถุง กับ ๑ ซอง น้ำหนักสุทธิรวม ๕,๐๗๕ กรัมคำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ได้ ๔,๙๗๓ กรัม ซึ่งเกินปริมาณที่รัฐมตรีประกาศกำหนดอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนดังกล่าวและอุปกรณ์การเสพยาเสพติด จำนวน ๑ ชุด โทรศัพท์เคลื่อนที่จำนวน๑ เครื่อง วิทยุติดตามตัวโฟนลิงค์ จำนวน ๑ เครื่อง กระเป๋าเดินทาง ๒ ใบ และทรัพย์สินอื่น ๆ อีกหลายรายการยึดเป็นของกลาง สำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ วิทยุติดตามตัว อุปกรณ์การเสพยาเสพติดและกระเป๋าเดินทาง ๒ ใบ เป็นทรัพย์สินที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิด โทรศัพท์เคลื่อนที่ วิทยุติดตามตัว โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอศาลสั่งริบให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมาพร้อมกับคำฟ้องส่วนของกลางรายการอื่นเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้มาจากการกระทำความผิด ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕, ๖๖, ๖๗,๑๐๒ พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๖,๑๓ ทวิ, ๖๒, ๘๙, ๑๐๖, ๑๐๖ ทวิ, ๑๑๖ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๓๐, ๓๑ กับริบเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนให้แก่กระทรวงสาธารณสุข ริบอุปกรณ์การเสพยาเสพติด กระเป๋าเดินทาง ๒ ใบ ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่โนเกียและวิทยุติดตามตัวโฟนลิงค์ ให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและนับโทษจำเลยต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๖๘๒๙/๒๕๔๐(ต่อมาเป็นคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๗๘๘๐/๒๕๔๐) ของศาลชั้นต้น
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่โนเกียและวิทยุติดตามตัวโฟนลิงค์ดังกล่าวให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา๓๐, ๓๑
พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ประกาศให้บุคคลซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินของกลางยื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีในหนังสือพิมพ์รายวันที่มีจำหน่ายแพร่หลายในท้องถิ่น รวม ๒ วัน ติดต่อกันแล้ว
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง, ๖๖ วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๓ ทวิ วรรคหนึ่ง, ๘๙, ๑๐๖ ทวิเรียงกระทงลงโทษ ฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายลงโทษจำคุก ๒๒ ปี ฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๒ (อีเฟดรีน) ไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดและเพื่อขาย การกระทำเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ซึ่งแต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ลงโทษฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ ตามมาตรา ๘๙ จำคุก ๒๐ ปี รวม ๒ กระทง จำคุก ๔๒ ปี สำหรับความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ลดโทษให้หนึ่งในสี่คงจำคุก ๑๖ ปี ๖ เดือน รวมลงโทษจำคุกจำเลย ๓๖ ปี ๖ เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุขและริบกระเป๋าเดินทาง ๒ ใบโทรศัพท์เคลื่อนที่โนเกียและวิทยุติดตามตัวโฟนลิงค์ ให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด นับโทษของจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๗๘๘๐/๒๕๔๐ ของศาลชั้นต้น สำหรับคำขอที่ให้ริบอุปกรณ์สำหรับเสพยาเสพติดนั้นเนื่องจากโจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาเสพยาเสพติด ดังนั้น ของกลางดังกล่าวจึงมิใช่ทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิดตามข้อหาที่โจทก์ฟ้องไม่ชอบที่ศาลจะสั่งริบ ให้ยกคำขอในส่วนนี้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุ ร้อยตำรวจโทพนมพร เหล็กกล้า กับพวกได้ไปตรวจค้นห้องพักของจำเลยในอาคารดาวคะนองคอนโดมิเนียม แขวงบุคคโล เขตธนบุรี กรุงเทพมหานครพบเมทแอมเฟตามีน ๑,๑๔๐ เม็ด และอีเฟดรีนน้ำหนัก ๕,๐๗๕ กรัม คำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ได้ ๔,๙๗๓ กรัม อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนและทรัพย์สินอื่น ๆรายละเอียดปรากฏตามบัญชีแสดงรายการของกลางแนบท้ายบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.๓ จำเลยยอมรับว่าเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวเป็นของจำเลยมีไว้เพื่อเสพปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ เห็นว่า เมทแอมเฟตามีนที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดไว้เป็นของกลางนั้น นอกจากจะบรรจุไว้ในซองพลาสติก ซึ่งมีลักษณะแบ่งแยกไว้จำเพาะแล้ว และยังมีจำนวนถึง ๑,๑๔๐ เม็ด มากเกินกว่าที่จำเลยจะนำมาเสพเองส่วนอีเฟดรีนก็มีน้ำหนักประมาณ ๕ กิโลกรัม ถือว่าเป็นจำนวนมาก และยังเป็นวัตถุดิบที่ใช้สำหรับผลิตเมทแอมเฟตามีนอีกด้วย ของกลางทั้งสองรายการดังกล่าวล้วนแล้วแต่เป็นของผิดกฎหมาย ส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีวัตถุประสงค์จะนำไปใช้ในทางไม่สุจริต ไม่เป็นการสมควรที่จำเลยซึ่งมีอาชีพรับเหมาก่อสร้างหรือบุคคลทั่วไปจะนำมาเก็บไว้ในความครอบครอง โดยเฉพาะอีเฟดรีนที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดได้นั้นส่วนหนึ่งอยู่ในถุงพลาสติกซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าสีดำสำหรับใช้สะพายรวมอยู่ด้วยกับอาวุธปืนของจำเลย จากโต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอน และอีเฟดรีนอีกส่วนหนึ่งอยู่ในกล่องกระดาษบรรจุในถุงหิ้วได้มาจากโซฟานอกห้องนอน ดังนี้ อีเฟดรีนทั้งสองจำนวนจำเลยย่อมรู้เห็นเพราะอยู่ในวิสัยที่จำเลยสามารถค้นหาพบอย่างง่ายดาย ที่จำเลยปฏิเสธว่าอีเฟดรีนดังกล่าวจำเลยไม่รู้ว่ามาอยู่ในห้องพักของจำเลยได้อย่างไรนั้นจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ ทางนำสืบของโจทก์นอกจากเจ้าพนักงานตำรวจจะยึดวัตถุพยานทั้งสองรายการดังกล่าวนี้มาแล้ว เจ้าพนักงานตำรวจยังได้ยึดทรัพย์สินอย่างอื่นของจำเลยอีกจำนวนมาก อาทิ รถยนต์ ๔ คัน นาฬิกาข้อมือฝังเพชร สร้อยคอทองคำฝังเพชร และแหวนทองคำ เป็นต้น ล้วนแล้วแต่เป็นทรัพย์สินที่มีค่าและราคาแพงตลอดทั้งมีสมุดฝากเงินของธนาคารถึง ๕ แห่ง กับบันทึกข้อความสั่งให้จ่ายเงินนับสิบล้านบาทเก็บซุกซ่อนอยู่ในห้องพักคอนโดมิเนียมที่จำเลยเช่าอยู่กับภริยาลำพัง ๒ คนหรือรถยนต์ราคาแพงที่จอดไว้ที่ลานจอดรถ ทรัพย์สินเหล่านั้นทั้งหมดเมื่อมาเปรียบเทียบกับอาชีพการงานของจำเลยแล้ว ไม่ปรากฏว่าอาชีพรับเหมาก่อสร้างของจำเลย มีที่ตั้งทำการเป็นหลักฐานมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นรูปบริษัทหรือส่วนตัว ทรัพย์สินเหล่านั้นจึงมีเกินกว่าฐานะตามที่ควรจะเป็น ส่อแสดงให้เห็นว่าการได้มาซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวมีพิรุธและไม่สุจริต ทั้งได้ความจากคำเบิกความของภริยาจำเลยว่า ระหว่างอยู่กินกับจำเลยนั้น มักจะมีนายแขกเพื่อนของจำเลยมาหาจำเลยที่ห้องพักที่เกิดเหตุในเวลาหลังเที่ยงคืน นายแขกได้นำเงินมาให้จำเลยครั้งหนึ่ง ๆ เป็นจำนวนแสนบาท พยานเคยสอบถามจำเลยว่าได้เงินมาจากไหน จำเลยบอกแก่พยานว่าได้เงินจากการคุมบ่อนการพนันที่จังหวัดกาญจนบุรี ดังนั้น พฤติการณ์ดังที่กล่าวมาเบื้องต้นและจากการสืบทราบของเจ้าพนักงานตำรวจว่าจำเลยมีการลักลอบจำหน่ายยาเสพติดให้โทษพยานหลักฐานของโจทก์จึงหาจำต้องมีประจักษ์พยานให้เห็นว่า จำเลยเป็นผู้จำหน่ายยาเสพติดให้โทษมาก่อนเกิดเหตุแต่อย่างใดไม่ ย่อมมีน้ำหนักมั่นคงฟังได้ว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลางไว้เพื่อจำหน่าย
สำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่และวิทยุติดตามตัวของกลางที่โจทก์ขอให้ริบนั้น เห็นว่า ตามลักษณะความผิดของจำเลยที่กล่าวมาประกอบกับเจ้าพนักงานตำรวจยึดของกลางพร้อมเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนกับทรัพย์สินอื่น ๆ จากห้องพักที่เกิดเหตุได้ในคราวเดียวกัน จึงเชื่อได้ว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่และวิทยุติดตามตัวจำเลยได้นำมาใช้เป็นอุปกรณ์สื่อสารให้ได้รับผลในการกระทำความผิดนอกเหนือจากการใช้สื่อสารตามปกติธุระของจำเลยด้วย ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๒๙, ๓๐
พิพากษายืน.