คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2173/2523

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ที่พิพาทใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะในฐานะเป็นที่ดินของสำนักราชการบ้านเมืองเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(3) และเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินก่อนใช้ พระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2474ไม่จำต้องออกพระราชกฤษฎีกาหวงห้ามหรือสงวนไว้และไม่ต้องขอจับจองที่ดินและแจ้งการครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดินจำเลยจะยกอายุความมาเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินคือโจทก์หาได้ไม่

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ปัญหาว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ ที่โจทก์นำสืบถึงกรณีได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อสร้างเรือนจำชั่วคราวเขากบ แล้วได้ให้เจ้าหน้าที่ของเรือนจำและนักโทษถากถางที่รกร้างว่างเปล่า แล้วปลูกสร้างเรือนจำชั่วคราวเขากบขึ้น จำเลยไม่มีพยานมานำสืบหักล้าง หลักฐานภาพถ่ายหมาย จ.4, จ.6 ขุนอภิจิตสุรทัณฑ์พัสดีเรือนจำจังหวัดนครสวรรค์ผู้ขออนุญาตได้บันทึกไว้ว่าได้สร้างเรือนจำชั่วคราวเขากบในที่ดินที่ได้รับอนุญาต กรณีจึงมิใช่ขุนอภิจิตสุรทัณฑ์ขอจับจองที่รกร้างว่างเปล่าเป็นส่วนตัวดังจำเลยอ้างพฤติการณืที่ขุนอภิจิตสุรทัณฑ์โดยความยินยอมของโจทก์ขออนุญาตสร้างเรือนจำชั่วคราวเขากบ เมื่อได้รับอนุญาตแล้วได้ให้เจ้าหน้าที่เรือนจำและนักโทษถากถางที่ดิน แล้วสร้างเรือนจำชั่วคราวเขากบในเวลาต่อมาเพื่อใช้เป็นสถานที่ฝึกอาชีพผู้ต้องขัง ใช้เป็นที่เลี้ยงสัตว์ เกษตรกรรม และมีโครงการที่จะตั้งเป็นเรือนจำกลาง ต่อมาโจทก์ได้ทำแผนที่แสดงเขต ทั้งได้ปักหลักเขตด้านติดกับที่ดินของจำเลยแสดงการครอบครองติดต่อมา ฟังได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะในฐานะเป็นที่ดินของสำนักราชการบ้านเมืองเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(3) ที่ดินดังกล่าวเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินก่อนใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พุทธศักราช 2478 ไม่จำต้องออกพระราชกฤษฎีกาหวงห้ามหรือสงวนไว้ และไม่ต้องขอจับจองที่ดินตามพระราชบัญญัติการออกโฉนดที่ดิน ร.ศ. 127 มาตรา 59, 60 และแจ้งการครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดินดังจำเลยฎีกา คำพิพากษาฎีกาที่จำเลยอ้างมาในฎีการูปคดีไม่ตรงกับคดีนี้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าเมื่อกระทรวงมหาดไทยสั่งยุบเลิกเรือนจำชั่วคราวแล้ว ทรัพย์พิพาทจึงไม่ใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดินอีกต่อไป เห็นว่าไม่ทำให้เปลี่ยนสภาพเป็นทรัพย์เอกชนดังจำเลยอ้าง เพราะยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาให้ถอนสภาพ ที่จำเลยฎีกาว่านางบางเจ้าของเดิมครอบครองที่พิพาทมาก่อนเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน และที่พิพาทมิได้อยู่ในเขตที่ดินสาธารณประโยชน์ของแผ่นดิน พิเคราะห์พยานจำเลยแล้ว เห็นว่าจำเลยไม่มีนางบาง นางบุญมีผู้รับโอนจากนางบางมาเป็นพยานนำสืบให้เห็นว่านางบางได้ยึดถือครอบครองตั้งแต่เมื่อใดและอย่างไรจำเลยอ้างว่านางบางครอบครองมา 50 ปี จึงเลื่อนลอยฟัง ไม่ได้ว่านางบางครอบครองที่พิพาทมาก่อนเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ได้ความจากนายเจตน์ สุวรรณ พนักงานที่ดินพยานจำเลยว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยเลขที่ 120 มีเนื้อที่ 46 ไร่ 3 งาน 66 วา จำเลยขอรังวัดออกโฉนดทั้งแปลง แต่รุกล้ำที่ดินที่โจทก์ครอบครอง 10 ไร่ โจทก์คัดค้าน จำเลยขอตัด จึงออกโฉนดให้ 32 ไร่ 3 งาน 66 วา ต่อมาจำเลยได้ขอรังวัดออกโฉนดตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับเดิมอีก 33 ไร่ 68 วาแสดงว่าจำเลยขอรังวัดออกโฉนดครั้งหลังเป็นเนื้อที่ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่คงเหลือรุกล้ำเข้าไปในที่ที่โจทก์ครอบครองจำเลยเองก็รับว่าที่พิพาทอยู่ในที่ดินที่โจทก์ครอบครอง แสดงว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่โจทก์ครอบครองดูแล จำเลยย่อมอ้างสิทธิครอบครองและยกอายุความมาเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินคือโจทก์ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1306”

พิพากษายืน

Share