คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2678/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้อความเท็จในบันทึกการจับกุมไม่เป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนเชื่อว่าได้มีความผิดอาญาเกิดขึ้นหรือเชื่อว่าความผิดอาญาที่เกิดขึ้นร้ายแรงกว่าที่เป็นความจริง พิพากษายกฟ้อง โจทก์มิได้ฎีกาคัดค้านข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยดังกล่าว จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 ศาลฎีกาไม่รับไว้พิจารณา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามเป็นเจ้าพนักงานตำรวจกองปราบปรามร่วมกันใช้ตำแหน่งหน้าที่กระทำการอันมิชอบ กระทำผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกระทง กล่าวคือ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๑๘ เวลากลางวัน (๑๓.๓๐ น.) จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกันจับกุมโจทก์ทั้งสองที่ซอยประดู่ ๑ แขวงบางโคล่ เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร ในข้อหาว่ามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยที่ ๑ ร่วมกับตำรวจทำการจับกุมนางอนงค์นารถกับพวกฐานมีมูลฝิ่นไว้ในครอบครองที่ตำบลสวนใหญ่ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี แต่จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ใช้ตำแหน่งหน้าที่ราชการร่วมกับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ กระทำพยานหลักฐานเอกสารอันเป็นเท็จโดยจำเลยที่ ๓ เขียนข้อความในบันทึกการจับกุมตัวโจทก์ทั้งสองว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ร่วมจับกุมตัวโจทก์ทั้งสองด้วย และจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ลงชื่อไว้ในบันทึกการจับกุมนั้น เมื่อจำเลยร่วมกันจัดทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จแล้ว จำเลยได้ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อร้อยตำรวจโทองอาจพนักงานสอบสวนกองทราบปรามว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ร่วมกับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ทำการจับกุมโจทก์ แสดงหลักฐานเท็จดังกล่าว เป็นเหตุให้ร้อยตำรวจโทองอาจหลงเชื่อว่าเป็นความจริง จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชา และสั่งฟ้องโจทก์ทั้งสองในข้อหามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ต่อมาจำเลยทั้งสามร่วมกันเบิกความเท็จต่อศาลอาญา ร่วมกันรับรองบันทึกการจับกุม ร่วมกันยืนยันบันทึกการสอบสวนเพื่อปรักปรำจำเลยทั้งสอง ในที่สุดศาลอาญาพิพากษาลงโทษจำคุกโจทก์ทั้งสองคนละ ๑๔ ปี ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๐๐ วรรคสอง, ๑๗๙,๑๗๒,๑๗๗,๑๗๔,๑๘๐,๘๓,๙๑
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลทุกข้อหา พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้อความในบันทึกการจับกุมที่ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ร่วมกระทำการจับกุมด้วย เป็นข้อความอันเป็นเท็จ แต่ไม่ใช่เป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนเชื่อได้ว่าได้มีความผิดอาญาเกิดขึ้นหรือเชื่อว่าความผิดอาญาที่เกิดขึ้นร้ายแรงกว่าที่เป็นความจริง ไม่เป็นความผิดฐานทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ และข้อความเท็จดังกล่าวไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อพนักงานสอบสวนและเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล ทั้งไม่เป็นความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาโจทก์ที่ ๑ เป็นฎีกาในปัญาหาข้อเท็จจริงแม้คดีจะไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญาหาขัอเท็จจริงเพราะศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อกฎหมายก็ตาม แต่เรื่องนี้ศาลอุทธรณ์ก็รับฟังอยู่แล้วว่าข้อความในบันทึกการจับกุมเป็นความเท็จดังที่โจทก์ที่ ๑ ฎีกา หากแต่ไม่ถึงกับเป้นความผิดฐานทำพยานหลักฐานเท็จเท่านั้น ฎีกาโจทก์ที่ ๑ จึงมิได้คัดค้านข้อเท็จจริงและมิได้คัดค้านข้อกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อความเท็จในบันทึกการจับกุมไม่เป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนเชื่อว่าได้มีความผิดอาญาเกิดขึ้น หรือเชื่อว่าความ -ผิดอาญาที่เกิดขึ้นร้ายแรงกว่าที่เป็นความจริง จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๖ ศาลฎีกาไม่รับไว้พิจารณา
พิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์ที่ ๑

Share