คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2171/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การเรียกค่าจ้างว่าความซึ่งกำหนดจำนวนเงินไว้แน่นอนนั้นหาใช่เป็นการแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาทอันจะพึงได้แก่ลูกความไม่ ไม่เป็นโมฆะ และปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ศาลอุทธรณ์จะมิได้วินิจฉัยให้ก็ตาม จำเลยชอบที่จะยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้
สัญญาจ้างว่าความมีว่า จำเลยจะให้ค่าจ้างแก่โจทก์เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงอาจเริ่มบังคับได้เมื่อคดีถึงที่สุด
อายุความฟ้องเรียกเงินค่าจ้างว่าความมีกำหนด 2 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(15)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2508 จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ฟ้องนางสาวประเสริฐ เอกพจน์ ให้โอนขายที่ดินโฉนดที่ 1077 ให้จำเลย และให้โจทก์ฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินดังกล่าว ซึ่งนางสาวประเสริฐได้จดทะเบียนโอนขายให้พันตำรวจตรีกมล ชโนวรรณ และพันตำรวจตรีกมลจดทะเบียนโอนขายต่อให้นายกำพล วัชรพล โดยจำเลยตกลงให้ค่าจ้างโจทก์เป็นเงิน 250,000บาท และเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2509 จำเลยได้จ้างโจทก์ว่าความแทนทนายความคนเดิมซึ่งจำเลยได้ยื่นฟ้องพันตำรวจตรีกมล ชโนวรรณ ข้อหาฐานปลอมหนังสือใช้หนังสือปลอม เป็นเงิน 200,000 บาท โจทก์ได้ดำเนินคดีให้จำเลยแล้ว จำเลยไม่ยอมชำระค่าจ้างว่าความให้โจทก์ ขอบังคับจำเลยชำระเงิน 450,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า เคยว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความตกลงค่าจ้างกันเป็นเงิน250,000 บาท โดยตกลงว่าให้โจทก์ฟ้องคดีอาญาพันตำรวจตรีกมล ชโนวรรณกับพวก ถ้าหากจำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดี โจทก์จะไม่คิดค่าจ้างว่าความ ข้อตกลงนี้ให้เหมารวมทั้งคดีที่พันตำรวจตรีกมล ชโนวรรณ เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาแจ้งความเท็จเกี่ยวกับที่ดินโฉนดที่ 1077 ด้วย ในระหว่างการดำเนินคดีอาญาดังกล่าว โจทก์ให้จำเลยฟ้องนางสาวประเสริฐ เอกพจน์, พันตำรวจตรีกมลชโนวรรณ และนายกำพล วัชรพล เพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าว และว่าคดีอาญาที่ฟ้องพันตำรวจตรีกมล ชโนวรรณ ต้องแพ้แน่ ฉะนั้นจึงไม่คิดค่าจ้างว่าความตามที่ตกลงไว้ แต่จะขอค่าจ้างว่าความคดีแพ่งที่จะฟ้องใหม่เป็นเงิน 50,000 บาท และโจทก์จะหักออกจากสัญญาจ้างฉบับลงวันที่29 พฤศจิกายน 2508 โดยถือว่าเงินสองแสนบาทเป็นส่วนของคดีอาญาซึ่งโจทก์จะไม่คิดเอาค่าจ้างว่าความ จำเลยไม่ได้ลงชื่อในสัญญาจ้างว่าความฉบับลงวันที่2 พฤษภาคม 2509 หรือหากลงชื่อไปก็โดยสำคัญผิด ทุนทรัพย์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 6478/2511 ที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องมีเพียง 500,000 บาท หากต้องเสียค่าทนายความให้โจทก์ 450,000 บาท เป็นการเอาเปรียบจำเลยโดยไม่ชอบ จำเลยควรเสียค่าทนายความให้โจทก์เพียง 30,000 บาท คดีโจทก์ขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยทำสัญญาจ้างว่าความฉบับลงวันที่ 29พฤศจิกายน 2508 เป็นเงิน 250,000 บาทจริง จำเลยยังมิได้ชำระเงินให้โจทก์ส่วนสัญญาจ้างว่าความลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2509 นั้น เชื่อว่า จำเลยได้ทำไว้จริง แต่เป็นการตกลงให้ฟ้องเฉพาะคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3232/2508คดีเดียว และจำเลยจะต้องชนะด้วย เมื่อจำเลยแพ้คดี จำเลยจึงไม่ต้องชำระเงินให้โจทก์ คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษาให้จำเลยชำระค่าจ้างว่าความให้โจทก์ 250,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยได้ทำสัญญาจ้างว่าความทั้งสองฉบับตามฟ้องจริง และไม่เชื่อว่ามีข้อตกลงว่าโจทก์จะไม่คิดค่าจ้างว่าความหากคดีอาญาแพ้คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษาแก้ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 450,000บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์เรียกร้องค่าจ้างว่าความสูงเกินอัตราขอให้ลดลงและเป็นการคำนวณแบ่งเอาทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาทจากลูกความเป็นโมฆะนั้น เห็นว่าเมื่อจำเลยตกลงกับโจทก์ว่าจะให้ค่าจ้างว่าความเป็นจำนวนเท่าใด และเมื่อโจทก์ได้ว่าความให้ตามที่ตกลงจนคดีถึงที่สุดแล้วเช่นนี้จำเลยต้องชำระค่าจ้างว่าความให้โจทก์ตามที่ตกลง จะขอให้ศาลลดให้มิได้ ส่วนที่อ้างว่าเป็นการคำนวณแบ่งเอาทรัพย์สินจากลูกความเป็นโมฆะนั้น จำเลยชอบจะยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนและแม้ศาลอุทธรณ์จะมิได้วินิจฉัยให้ก็ตาม ศาลฎีกาเห็นว่าการเรียกค่าจ้างว่าความตามเอกสารหมาย จ.1 และเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งกำหนดจำนวนเงินไว้แน่นอนนั้นหาใช่เป็นการแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาทอันจะพึงได้แก่ลูกความไม่ จึงไม่เป็นโมฆะดังที่จำเลยฎีกา

ปัญหาว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบมาฟังได้ว่าจำเลยตกลงจะจ่ายเงินค่าจ้างว่าความให้เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วเมื่อศาลอุทธรณ์ฟังว่าคดีแพ่งเกี่ยวกับที่ดินโฉนดที่ 1077 คือคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 2659/2509 คดีหมายเลขแดงที่ 6478/2511 ของศาลแพ่ง เพิ่งอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2514 และคดีอาญาตามเอกสารหมาย จ.2 เพิ่งอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2513 และจำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งวันที่อ่านคำพิพากษานี้อย่างใด ดังนั้นการที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2515 จึงหาขาดอายุความไม่ เพราะยังไม่พ้นกำหนด 2 ปีนับตั้งแต่วันที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้

ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share