แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามคำบรรยายฟ้องที่ขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์นั้นได้กล่าวว่าจำเลยกับพวกใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย ซึ่งความผิดฐานปล้นทรัพย์นั้นรวมการกระทำโดยการใช้กำลังประทุษร้ายอยู่ด้วย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามฟ้องว่าผู้ตายตายเพราะถูกจำเลยยิงทำร้าย ศาลย่อมลงโทษจำเลยในความผิดฐานมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทำร้ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา192 วรรค 5
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสุวรรณหรือเซ้งองอาจ ผู้ตาย เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2517 เวลากลางวัน จำเลยมีปืนเป็นอาวุธกับพวกรวม 5 คนร่วมกันปล้นเอาเงิน 15 บาทของนายสุวรรณหรือเซ้ง องอาจไปโดยเจตนาทุจริต โดยจำเลยกับพวกใช้อาวุธปืนยิงนายสุวรรณหรือเซ้งถึงแก่ความตาย ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการปล้นทรัพย์ การเอาทรัพย์ไปเพื่อยื่นให้ซึ่งทรัพย์ หรือให้พ้นการจับกุมรายการชันสูตรบาดแผลผู้ตายอยู่ที่พนักงานอัยการ เหตุเกิดที่ตำบลทุ่งแต้ อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้อง สั่งประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุก 2 ปี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคท้าย ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน2514 ข้อ 14 ให้ประหารชีวิตจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริง แต่ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเอาเงินจากผู้ตายไป ส่วนปัญหาที่ว่าจำเลยควรมีความผิดฐานใดนั้นวินิจฉัยว่า ตามคำบรรยายฟ้องโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์นั้นได้กล่าวว่าจำเลยกับพวกได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย ซึ่งความผิดฐานปล้นทรัพย์นั้น รวมการกระทำโดยการใช้กำลังประทุษร้ายอยู่ด้วย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามฟ้องว่าผู้ตายตายเพราะถูกจำเลยยิงทำร้าย ศาลย่อมลงโทษจำเลยในความผิดฐานมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทำร้ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้า
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก ให้จำคุกจำเลย 10 ปี