คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 420/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและสัญญาแบ่งมรดก เป็นการฟ้องเรียกร้องให้ได้ทรัพย์พิพาทคืนมาเป็นทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ผู้เป็นทายาทเป็นคดีมีทุนทรัพย์
แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับฟ้องของโจทก์จึงไม่ได้หมายเรียกจำเลยให้มาแก้คดี แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องไว้พิจารณาจำเลยฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายเกียรติสามีโจทก์ได้จดทะเบียนรับบุตรจำเลยมาเป็นบุตรบุญธรรม 1 คน ขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่ สามีโจทก์ถึงแก่กรรม ศาลได้มีคำสั่งตั้งให้จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายเกียรติตามคำร้องของโจทก์แล้ว หลังจากนั้นจำเลยกับพวกได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและสัญญาแบ่งปันมรดกกับโจทก์เกี่ยวกับทรัพย์มรดกของนายเกียรติรวม 2 ครั้ง ต่อมาศาลจังหวัดตะกั่วป่ามีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยทำสัญญาแบ่งปันมรดก ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7/2510 จำเลยผิดสัญญาไม่ส่งมอบทรัพย์สินบางอย่างแก่โจทก์โจทก์จึงฟ้องจำเลย ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 47/2515 ของศาลจังหวัดภูเก็ต การแบ่งทรัพย์มรดกของนายเกียรติทำไปไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวเกิดขึ้นโดยการฉ้อฉลของจำเลยกับพวก คำสั่งของศาลที่อนุญาตให้แบ่งทรัพย์มรดก ทำให้โจทก์เสียเปรียบและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 10 เมษายน 2510 และสัญญาแบ่งปันมรดกฉบับลงวันที่ 28 กันยายน 2510 และคำสั่งศาลที่อนุญาตให้แบ่งปันนั้นเสียมิให้ใช้ต่อไป

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีของโจทก์เป็นคดีมีทุนทรัพย์ ให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ หากโจทก์ไม่ยอมเสียก็ไม่รับคำคู่ความนี้

โจทก์แถลงยืนยันว่าคดีของโจทก์เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามคำสั่งศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดี

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีของโจทก์เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องของโจทก์ไว้ดำเนินการพิจารณาต่อไป

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและสัญญาแบ่งปันมรดกนี้ เป็นการฟ้องเรียกร้องให้ได้ทรัพย์พิพาทคืนมาเป็นทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ผู้เป็นทายาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 2180/2517 และแม้ศาลชั้นต้นจะได้สั่งไม่รับฟ้องของโจทก์โดยยังไม่ได้หมายเรียกจำเลยให้มาแก้คดีก็ตาม แต่ศาลอุทธรณ์ก็ได้มีคำพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาแล้ว จำเลยย่อมมีสิทธิฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 247 ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 474/2503

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น

Share