คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2160/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยไปกับคนร้ายที่ลงมือกระทำความผิดและเมื่อคนร้ายวิ่งหนีไปจำเลยก็วิ่งหนีไปด้วย ประกอบกับคำรับของจำเลยต่อหน้ากำนันในตอนจับกุม ย่อมเป็นพฤติการณ์เพียงพอที่จะทำให้ฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมกระทำผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกอีก ๑ คน ร่วมกันลักนาฬิกาข้อมือ ๑ เรือนและวิทยุ ๑ เครื่องของนายประทวน แนวหล้า โดยใช้กริยาฉกฉวยเอาทรัพย์ดังกล่าวซึ่งหน้าพาหนีไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๖ ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๕๕๐ บาทแก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๖ ลดมาตราส่วนโทษแล้วจำคุกจำเลย ๑ ปี ๔ เดือน ฯลฯ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของโจทก์ยังรับฟังมิได้ว่าจำเลยกระทำผิดดังฟ้อง พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยได้ไปอยู่ใกล้กระท่อมนาของผู้เสียหายตอนที่มีคนร้ายวิ่งราวทรัพย์ของผู้เสียหายไปจริง และจำเลยก็รับว่าได้ไปกับคนร้ายนั้นด้วย แต่มิได้รู้เห็นเป็นใจร่วมในการวิ่งราวทรัพย์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่าเมื่อคนร้ายกระชากนาฬิกาข้อมือวิ่งหนีไป ก็มีชายอีกคนหนึ่งวิ่งตามไปด้วย และในที่สุดก็จับคนที่วิ่งหนีนั้นได้คนหนึ่งคือจำเลยนี้ ผู้เสียหายนำตัวจำเลยไปที่บ้านของนายสมัยกำนัน นายสมัยได้เบิกความรับรองความข้อนี้ ทั้งยังได้บันทึกคำรับของจำเลยให้จำเลยลงชื่อไว้ด้วย ไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าพยานโจทก์แกล้งปรักปรำใส่ร้ายจำเลย การที่จำเลยไปกับคนร้ายที่ลงมือกระทำความผิด และเมื่อคนร้ายวิ่งหนีไปจำเลยก็วิ่งหนีไปด้วย ประกอบกับคำรับของจำเลยต่อนายสมัยกำนันในตอนจับกุม ย่อมเป็นพฤติการณ์เพียงพอที่จะทำให้ฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมกระทำผิดกับคนร้ายอีกคนหนึ่ง ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยได้ร่วมกระทำความผิดในคดีนี้จริง
พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยและให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

Share