แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องให้จำเลยแบ่งขายที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 137 ให้แก่โจทก์บางส่วนในราคา 52,000 บาท แล้วคู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่าจำเลยยอมขายที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 137 ให้แก่โจทก์ในราคา 52,000 บาท ดังนี้ เมื่อคำบรรยายฟ้องและเอกสารการขอจดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวก็ระบุว่าจำเลยตกลงแบ่งขายที่ดินเพียงบางส่วน ราคาที่ดินตามฟ้องก็เป็นราคาเดียวกับในสัญญาประนีประนอมยอมความ แสดงให้เห็นว่าโจทก์จำเลยมีเจตนาอันแท้จริงที่จะตกลงซื้อขายที่ดินกันตามจำนวนเนื้อที่และเขตติดต่อที่ระบุในฟ้อง หาใช่ซื้อขายทั้งแปลงไม่ โจทก์จึงไม่อาจหยิบยกถ้อยคำในสัญญาประนีประนอมยอมความที่ระบุว่าซื้อขายที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 137 ให้มีความหมายว่าเป็นการซื้อขายทั้งแปลงตามตัวอักษร เพราะเป็นการตีความสัญญาซึ่งไม่ตรงตามประสงค์ของคู่กรณีและเป็นไปในทางไม่สุจริตอันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 368
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องให้จำเลยแบ่งขายที่ดินตาม น.ส.๓ เลขที่ ๑๓๗ ให้แก่โจทก์บางส่วนเนื้อที่ประมาณ ๘ ไร่ ๔๖ ตารางวา ในราคา ๕๒,๐๐๐ บาท แล้วคู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลมีใจความว่า จำเลยยอมขายที่ดินตาม น.ส.๓ เลขที่ ๑๓๗ พร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ในราคา ๕๒,๐๐๐ บาท โจทก์จะชำระราคาที่ดินให้แก่จำเลยภายในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๑๗ โดยนำมาวางศาล
ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์จำเลยไปยื่นคำร้องขอรังวัดแบ่งแยกพนักงานที่ดินได้รังวัดที่พิพาทออกจากโฉนดที่ดินของจำเลยเพื่อให้โจทก์ได้เต็มตาม น.ส.๓ แต่จำเลยไม่ยอมรับรองแนวเขตและไม่ยอมโอนซื้อขายต่อไป ศาลชั้นต้นเรียกจำเลยมาสอบถาม จำเลยแถลงว่า จำเลยไม่โอนให้เพราะโจทก์จะเอาทั้งแปลง แต่จำเลยตกลงขายเพียงเนื้อที่ ๘ ไร่เศษ ไม่ใช่ขายทั้งแปลง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เป็นการตกลงขายกันทั้งแปลง น.ส.๓ เลขที่ ๑๓๗ ไม่ใช่ขายบางส่วน จึงให้จำเลยจัดการโอนที่ดินพิพาทภายในกำหนด ๓๐ วัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยโอนที่ดินบางส่วนตาม น.ส.๓ เลขที่ ๑๓๗ เนื้อที่ประมาณ ๘ ไร่ ๔๖ ตารางวาให้โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าควรถือข้อความในสัญญาประนีประนอมยอมความเหนือกว่าข้อตกลงอื่นใดนอกสำนวนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคำบรรยายฟ้องของโจทก์เองก็ระบุเขตติดต่อของที่ดินที่จำเลยตกลงแบ่งขายไว้ ซึ่งเห็นได้ว่าเป็ฯเพียงบางส่วนของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๑๓๗ ที่ฟ้องราคาที่ดินตามฟ้องก็เป็นราคาเดียวกันกับในสัญญาประนีประนอมยอมความ เอกสารต่าง ๆ ที่จำเลยได้ไปยื่นเรื่องราวต่อพนักงานที่ดินเกี่ยวกับการขอจดทะเบียนขายที่ดินตาม น.ส.๓ ให้แก่โจทก์ก่อนมีการฟ้องร้องคดีนี้ ก็ระบุว่าเป็นการแบ่งขายเพียงประมาณ ๘ ไร่ ซึ่งเนื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวมีถึงประมาณ ๙ ไร่ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์จำเลยมีเจตนาอันแท้จริงที่จะตกลงซื้อขายที่ดินกันตามจำนวนเนื้อที่และเขตติดต่อที่ระบุในฟ้อง หาใช่ซื้อขายกันทั้งแปลงไม่ ดังนั้นโจทก์จึงไม่อาจหยิบยกถ้อยคำในสัญญาประนีประนอมยอมความที่ระบุซื้อขายที่ดินตาม น.ส.๓ เลขที่ ๑๓๗ ให้มีความหมายว่าเป็นการซื้อขายทั้งแปลงตามตัวอักษร เพราะเป็นการตีความสัญญาซึ่งไม่ตรงตามประสงค์ของคู่กรณีและเป็นไปในทางไม่สุจริตอันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๖๘ และข้อเท็จจริงที่นำมาวินิจฉัยถึงเจตนาของโจทก์จำเลยดังกล่าว ก็เป็นข้อที่ปรากฏอยู่ในคำฟ้องและพยานเอกสารที่โจทก์เป็นฝ่ายอ้าง ซึ่งศาลชั้นต้นได้เรียกมาจากอำเภอตามคำขอของโจทก์ก่อนที่โจทก์จำเลยจะตกลงประนีประนอมยอมความกันจึงหาใช่ข้อตกลงนอกสำนวนดังที่โจทก์ฎีกาไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
(พยนต์ ยาวะประภาษ แผ้ว ศิวะบวร จันทร์ ระรวยทรง)