คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2162/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยรวม 5 ปาก เพราะพยานเหล่านี้กับพยานที่จำเลยที่ 1 และที่ 5 นำเข้าสืบแล้วกับตัวจำเลยที่ 1 เป็นพยานคู่กัน แม้สืบไปก็ได้ความเหมือนกับที่จำเลยที่ 1กับพวกเบิกความมาแล้ว ทั้งข้อเท็จจริงได้ความจากคำให้การของพยานดังกล่าวในสำนวนสอบสวนเพื่อพิจารณาทัณฑ์ทางวินัยแก่จำเลยที่ 1ว่าพยานเหล่านี้ไม่เห็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ แต่มารู้เห็นเมื่อเกิดเหตุแล้ว การที่จะสืบพยานเหล่านี้ไปจึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดี และเป็นการฟุ่มเฟือยเกินไป คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานดังกล่าวจึงชอบแล้ว โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นนักเรียนโรงเรียนพลตำรวจภูธร 4 ของกรมตำรวจจำเลยที่ 5 การที่จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 5 การฝึกชัยยะเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในฐานะนักเรียนพลตำรวจตามคำสั่งและนโยบายของจำเลยที่ 5 เมื่อการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เกิดความเสียหายขึ้นก็เรียกได้ว่าจำเลยที่ 1ทำละเมิดในหน้าที่การงานกรมตำรวจ จำเลยที่ 5 แม้ไม่ได้ร่วมทำละเมิด และมิได้เป็นลูกจ้างนายจ้างหรือตัวแทนก็จำต้องร่วมรับผิดเสียค่าสินไหมทดแทน เพื่อความเสียหายนั้นด้วย ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 การที่ปืนในความครอบครองของจำเลยที่ 1 ลั่นขึ้น และโจทก์ได้รับอันตรายสาหัสเป็นการทำให้โจทก์เสียหายแก่ร่างกายซึ่งตามมาตรา 444 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โจทก์ชอบที่จะได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายอันตนต้องเสียไป กับเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่น อันมิใช่ตัวเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 บัญญัติไว้ได้ การวินิจฉัยถึงค่าใช้จ่ายและค่าเสียหาย ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติว่าจะต้องคำนึงถึงฐานะและรายได้ของผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งห้ากระทำละเมิดทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน502,957.50 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งห้าให้การว่า เหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย โจทก์เสียหายไม่เกิน 20,000 บาทศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 1 และที่ 5ร่วมกันชำระเงิน 430,957.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ให้ยก จำเลยที่ 1 และที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 1 และที่ 5 ฎีกาในข้อแรกว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบสิบตำรวจเอกธนวัฒน์ สิมสวัสดิ์จำเลยที่ 3 พลฯบรรจง บุตรผล พลฯรัชตะ งามสงวน และพลฯวิบูลย์ชำนิงาน พยานซึ่งอยู่ใกล้ชิดที่เกิดเหตุเป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าพยานเหล่านี้กับสิบตำรวจตรีสุระทัย วิชาผง สิบตำรวจโทบรรเลง พรหมมิน พยานที่จำเลยที่ 1 และที่ 5 นำเข้าสืบแล้วกับตัวจำเลยที่ 1 เป็นพยานคู่กัน การที่จำเลยที่ 1 และที่ 5 จะนำพยานเหล่านี้เข้าสืบอีกจึงไม่จำเป็นและเป็นการฟุ่มเฟือย เพราะสืบไปก็ได้ความเหมือนกับที่จำเลยที่ 1 กับพวกเบิกความมาแล้วทั้งข้อเท็จจริงได้ความจากคำให้การของสิบตำรวจโทธนวัฒน์พลฯบรรจง และพลฯรัชตะในสำนวนสอบสวนเพื่อพิจารณาทัณฑ์ทางวินัยแก่จำเลยที่ 1 ว่าพยานเหล่านี้ไม่เห็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ แต่มารู้เห็นเมื่อเกิดเหตุแล้ว การที่จะสืบพยานเหล่านี้ไปจึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดีจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 5 แต่ประการใดที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานเหล่านี้จึงชอบแล้ว ฎีกาจำเลยในปัญหาข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ข้อที่กรมตำรวจจำเลยที่ 5 ฎีกาว่า จำเลยที่ 5 ไม่ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของจำเลยที่ 1 นั้น คดีฟังข้อเท็จจริงได้ว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นนักเรียนโรงเรียนพลตำรวจภูธร 4 ของจำเลยที่ 5 ทางราชการกรมตำรวจมีคำสั่งบรรจุแต่งตั้งให้โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นพลตำรวจสำรองการฝึกชัยยะของนักเรียนพลตำรวจเป็นไปตามคำสั่งของจำเลยที่ 5 เพื่อวัตถุประสงค์ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าใจเรื่องการใช้อาวุธต่อสู้ปราบปรามผู้ก่อการร้ายและรักษาความสงบภายใน กับเพิ่มพูนสมรรถภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตามนโยบายของจำเลยที่ 5 ดังนี้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 5 การฝึกชัยยะเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1ในฐานะนักเรียนพลตำรวจตามคำสั่งและนโยบายของจำเลยที่ 5 เมื่อการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เกิดความเสียหายขึ้นก็เรียกได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิดในหน้าที่การงาน กรมตำรวจ จำเลยที่ 5แม้ไม่ได้ร่วมทำละเมิดและมิได้เป็นลูกจ้างนายจ้างหรือตัวแทนดังที่ฎีกาก็จำต้องร่วมรับผิดเสียค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้นด้วย ทั้งนี้ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76
ข้อที่จำเลยที่ 1 และที่ 5 ฎีกาว่า ค่าเสียหายในการที่โจทก์ต้องเปลี่ยนท่อปัสสาวะพร้อมถุงพลาสติกและค่าสินไหมทดแทนกรณีโจทก์ต้องทนทุกข์เวทนาที่ต้องหิ้วถุงปัสสาวะไปตลอดชีวิต หมดความรู้สึกทางเพศ และเสียความสามารถในการสืบพันธุ์ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์สูงเกินสมควรเพราะไม่คำนึงถึงฐานะและรายได้ของโจทก์เป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ปืนในความครอบครองของจำเลยที่ 1 ลั่นขึ้นและโจทก์ได้รับอันตรายสาหัสเป็นการทำให้โจทก์เสียหายแก่ร่างกายซึ่งตามมาตรา 444 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์โจทก์ชอบที่จะได้รับชดใช้ค่าเสียหายอันตนต้องเสียไป กับเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่น อันมิใช่ตัวเงินตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 บัญญัติไว้ได้การวินิจฉัยถึงค่าใช้จ่ายและค่าเสียหายดังกล่าวไม่มีกฎหมายใดบัญญัติว่าจะต้องคำนึงถึงฐานะและรายได้ของผู้ต้องเสียหายด้วย ดังนี้คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในปัญหาที่กล่าวจึงไม่ขัดต่อกฎหมาย ทั้งจำนวนเงินที่กำหนดให้ก็มิได้สูงเกินสมควร ดังที่ฎีกา ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 1 และที่ 5 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share