แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อจะขายอาคารชุด เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2525 ระบุว่าจำเลยที่ 1 จะดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2526 และโจทก์ผู้จะซื้อตกลงชำระเงินมัดจำให้ในวันทำสัญญาเป็นเงิน 210,000 บาท และจะชำระในช่วงระยะเวลาก่อสร้างอีก 2,160,000 บาท โดยแบ่งชำระเป็นงวดจำนวน 24 งวด ภายในวันที่ 28 ของทุกเดือน จนกระทั่งถึงวันที่28 พฤษภาคม 2527 โจทก์ชำระเงินมัดจำแล้วแต่ไม่ได้ชำระเงินค่างวดเช่นนี้ ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยต้องดำเนินการก่อสร้างตามงวดการชำระเงินจึงเป็นเพียงการกะประมาณเอา หน้าที่ของจำเลยที่ 1 ตามสัญญาโดยแท้จริง คือสร้างอาคารชุดให้เสร็จภายในเดือนธันวาคม 2526ทั้งจำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างบริษัท ผ. ตอกเสาเข็มคอนกรีตอัดแรงตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2525 และก่อนหน้านั้นต้องเจาะสำรวจดินเพื่อหาข้อมูลในการปักเสาเข็มก่อน ผู้รับจ้างเจาะสำรวจดินทำงานล่าช้าไปประมาณเดือนครึ่งซึ่งเป็นปกติวิสัยที่อาจจะเกิดขึ้นได้เมื่อคำนวณดูแล้วอย่างน้อยจำเลยก็ได้ดำเนินการก่อสร้างมาตั้งแต่ประมาณกลางเดือนมิถุนายน 2525 จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกเงินมัดจำคืน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินมัดจำจำนวน210,000 บาท คืนให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ จำเลยทั้งสี่ให้การว่า จำเลยทั้งสี่ไม่ได้ปฏิบัติผิดสัญญา แต่โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ยอมชำระเงินค่าห้องชุดตามที่ตกลงกันในสัญญาเป็นเวลา2 งวด ติดต่อกันคือ งวดเดือนมิถุนายน และกรกฎาคม 2525 จำเลยจึงมีหนังสือเลิกสัญญากับโจทก์ และริบเงินมัดจำตามสัญญาโดยชอบโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินมัดจำคืนพร้อมด้วยดอกเบี้ยแต่อย่างใดขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันคืนเงินมัดจำเป็นเงิน 210,000บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในเงินต้น210,000 บาท นับแต่วันรับเงินไว้จนกว่าจะชำระเงินต้นให้แก่โจทก์จนเสร็จสิ้น จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ประเด็นข้อพิพาทมีเพียงว่า จำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขายจนเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิเรียกมัดจำคืนหรือไม่ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายอาคารชุดไว้ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.4 หรือ ล.5ซึ่งได้กระทำกันเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2525 มีใจความสำคัญเกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 1 ตามข้อ 4 ว่า จำเลยที่ 1 จะดำเนินการก่อสร้างให้เสร็จเรียบร้อยภายในเดือนธันวาคม 2526และตามข้อ 2 ของสัญญาดังกล่าวมีข้อความว่า “ผู้จะซื้อตกลงชำระเงินมัดจำให้ผู้จะขายในวันทำสัญญานี้เป็นเงิน 210,000 บาท และจะชำระในช่วงระยะเวลาก่อสร้างอีกเป็นเงิน 2,160,000 บาท โดยแบ่งชำระเป็นงวด ๆ จำนวน 24 งวด ภายในวันที่ 28 ของทุกเดือนจนกระทั่งถึงวันที่ 28 พฤษภาคม 2527 ส่วนที่เหลือ…” โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยไม่ได้ก่อสร้างอาคารชุดตามงวดการชำระเงิน ซึ่งคงจะหมายถึงระยะเวลาภายหลังการทำสัญญาเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งโจทก์มีหน้าที่จะต้องชำระเงินตามงวดตั้งแต่งวดแรกภายในวันที่ 28 มิถุนายน 2525เป็นต้นไป เห็นว่า ตามสัญญาข้อ 4 ระบุไว้ชัดว่า จำเลยที่ 1 จะดำเนินการก่อสร้างให้เสร็จภายในเดือนธันวาคม 2526 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่โจทก์จะผ่อนชำระเงินตามงวดเสร็จสิ้น ดังนั้นที่โจทก์อ้างว่าตามข้อสัญญาหมายความว่าจำเลยต้องดำเนินการก่อสร้างอาคารชุดตามงวดการชำระเงินนั้น จึงเป็นเพียงการกะประมาณเอา หน้าที่ของจำเลยที่ 1 ตามสัญญาโดยแท้จริงก็คือต้องสร้างอาคารชุดให้เสร็จภายในเดือนธันวาคม 2526 อย่างไรก็ดี ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.6 ลงวันที่2 สิงหาคม 2525 ว่า จำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างบริษัทผลิตภัณฑ์ซีแมกจำกัด ตอกเสาเข็มคอนกรีตอัดแรง ทั้งนี้จำเลยนำสืบว่าก่อนหน้านั้นต้องเจาะสำรวจดินเพื่อหาข้อมูลในการปักเสาเข็มก่อน ซึ่งบริษัทซอยเทสติ้งสยาม จำกัด ผู้รับจ้างเจาะสำรวจดินทำงานล่าช้าไปประมาณ 1 เดือนครึ่ง ซึ่งเป็นปกติวิสัยที่อาจจะเกิดขึ้นได้เมื่อคำนวณดูแล้วอย่างน้อยจำเลยก็ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างมาตั้งแต่ประมาณกลางเดือนมิถุนายน 2525 ดังนั้น จึงเป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินมัดจำคืน”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์