คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2460/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีที่สินค้าที่นำเข้าถูกเพลิงไหม้ เป็นการถูกทำลายโดยอุบัติเหตุอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ขณะอยู่บนเรือ เป็นดุลพินิจของอธิบดีกรมศุลกากรที่จะสั่งยกเว้นภาษีได้แต่เมื่อกรมศุลกากรเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยผู้ซึ่งมีสิทธิที่จะร้องขอให้ยกเว้นภาษีเสียเองแล้ว ย่อมถือได้โดยปริยายว่าอธิบดีกรมศุลกากรได้ใช้ดุลพินิจไม่ยกเว้นค่าภาษีให้แก่จำเลยตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 95 การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้นำของเข้าควรได้รับยกเว้นภาษีที่จะต้องเสีย แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์ ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)246 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ. 2528 มาตรา 29

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยในฐานะตัวแทนเรือในประเทศไทยของเรือลีเฮง ซึ่งประกอบธุรกิจรับขนสินค้าระหว่างประเทศรวมทั้งขนส่งสินคัาจากต่างประเทศมายังประเทศไทย โดยจำเลยมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบในประเทศไทยในการเป็นผู้รายงานเรือเข้า และแจ้งเรือออกต่อศุลกากรตลอดจนกระทำหน้าที่ใด ๆ ของทางเรือลีเฮง ตามบังคับแห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ขณะที่มีการขนถ่ายสินค้าลงจากเรือ ได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่ระวางบรรทุกสินค้าที่ 1ซึ่งอยู่ทางด้านหัวเรือ เป็นเหตุให้สินค้าที่ยังมิได้ขนถ่ายลงไว้ในโรงพักสินค้าเสียหายรวม 32 รายการ ทั้งนี้ สินค้าเหล่านั้นเป็นสินค้าที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยสำเร็จแล้วตามมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 แม้สินค้าดังกล่าวจะยังมิได้ขนถ่ายลงจากเรือเข้าเก็บไว้ในโรงพักสินค้าก็ตาม สินค้าดังกล่าวก็เกิดภาระภาษีตามกฎหมายซึ่งผู้นำของเข้าจะต้องรับผิดในอันที่จะต้องเสียค่าภาษีอากรของที่นำเข้าดังกล่าวตามบทบัญญัติมาตรา 10 ทวิ วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 ขอให้บังคับจำเลยชำระยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบ
จำเลยให้การว่า โจทก์เรียกดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวบังคับจำนองต่อจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาสืบพยานจำเลย จำเลยแถลงขอส่งประเด็นไปสืบพยานจำเลย 2 ปาก
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ส่งประเด็นและให้งดสืบพยานจำเลยดังกล่าว แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,083,265.06 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 650,000 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ให้โจทก์จนครบ
จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาและคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ส่งประเด็นและงดสืบพยานจำเลย
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีข้อวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยเพียงว่าที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยส่งประเด็นและงดสืบพยานจำเลยชอบหรือไม่ได้ความตายรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ฉบับลงวันที่ 3กรกฎาคม 2533 ว่า จำเลยแถลงขอส่งประเด็นไปสืบพยานจำเลยคือนายเทพชัย สายสุจริต สมุห์บัญชีธนาคารโจทก์ สาขาสิงห์บุรีที่ศาลจังหวัดสิงห์บุรี และนายพิชิต ตั้งเทียมศิริกุล สมุห์บัญชีธนาคารโจทก์ สาขาสระแก้ว ที่ศาลจังหวัดลพบุรี ในประเด็นข้อที่ว่าธนาคารโจทก์ สาขาพิจิตร ได้หักเงินของจำเลยจากบัญชีกระแสรายวัน เลขที่ 375 ทุกเดือน เดือนละ 25,000 บาท ชำระหนี้ให้โจทก์ตามฟ้องเสร็จสิ้นแล้ว เห็นว่า ตามคำให้กาของจำเลยก็ดีและตามประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดในการชี้สองสถานก็ดี ไม่มีประเด็นข้อที่ว่า จำเลยได้ชำระหนี้ตามฟ้องให้โจทก์เสร็จสิ้นแล้วหรือไม่ เมื่อคดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทกันดังกล่าว แต่จำเลยขอส่งประเด็นไปสืบพยานจำเลยทั้งสองปากในประเด็นนั้น ดังนี้ จึงเป็นการขอส่งประเด็นไปสืบพยานจำเลยที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทในคดี ที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยส่งประเด็นและงดสืบพยานจำเลยและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จึงชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share