แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยและผู้เสียหายเป็นหุ้นส่วนกันลงทุนซื้อเหล็กในแต่ละครั้ง เมื่อขายเหล็กได้ จำเลยจะสั่งจ่ายเช็คตามยอดเงินที่ขายได้ให้แก่ผู้เสียหายซึ่งจะมียอดเงินในเช็คพิพาททั้งยี่สิบสองฉบับเปรียบเทียบกับรายการซื้อขายเหล็ก ซึ่งโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่า ขณะที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งยี่สิบสองฉบับแก่ผู้เสียหายตามมูลค่าการขายเหล็กซึ่งยังไม่ได้แบ่งเงินตามข้อตกลงการเป็นหุ้นส่วนกันเป็นยอดเงินสุทธิว่ามีจำนวนเท่าใด ทำให้ขณะนั้นจำเลยยังไม่มีหนี้ที่ผู้เสียหายมีสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยได้ ฉะนั้นเมื่อจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งยี่สิบสองฉบับโดยยังไม่มีมูลหนี้ซึ่งอาจบังคับได้ที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ให้เรียงกระทงลงโทษ รวม 22 กระทง จำคุกกระทงละ 3 เดือน รวมจำคุก 66 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความเป็นพยานว่าเช็คพิพาททั้งยี่สิบสองฉบับ จำเลยสั่งจ่ายให้ผู้เสียหายในกรณีที่ขายเหล็กมาได้และจ่ายเงินผู้เสียหายคืนเงินทุนและกำไร โดยผู้เสียหายเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า จำเลยกับผู้เสียหายร่วมลงทุนค้าขายกันจะไม่มีการคิดดอกเบี้ยแต่แบ่งผลกำไรกันตามรายการซื้อขายเหล็กเอกสารหมาย จ.1 รายละเอียดในรายการไม่ใช่เป็นการคิดดอกเบี้ยจากจำเลยแต่เป็นการแบ่งผลกำไรกันเท่านั้น ตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นแรก มีระบุว่าทุนเท่าไร หักดอกเบี้ยเท่าไร แล้วจึงมาเขียนรายละเอียดในภายหลัง เอกสารหมาย จ.1 บางฉบับเกี่ยวกับรายการมีการคิดดอกเบี้ยด้วยเป็นเพราะบางครั้งที่จำเลยไปซื้อเหล็กร่วมกับผู้เสียหายแต่จำเลยไม่มีเงินทุนจึงยืมเงินผู้เสียหายและจะให้ดอกเบี้ยแก่ผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า จำเลยจะต้องสั่งจ่ายเช็คที่ขายเหล็กให้ผู้เสียหายก่อน แล้วผู้เสียหายนำเรียกเก็บเงินภายหลังจึงแบ่งผลกำไรให้จำเลยครึ่งหนึ่ง ตามรายการเอกสารหมาย จ.1 เป็นรายการที่จำเลยทำให้ผู้เสียหายก่อนซื้อเหล็กเพื่อร่วมลงทุนกัน ส่วนเช็คพิพาททั้งยี่สิบสองฉบับเป็นเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายเมื่อขายเหล็กได้แล้วรวมต้นทุนและกำไรให้ผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายเรียกเก็บเงินได้แล้วจะนำกำไรมาแบ่งให้จำเลยคนละครึ่ง ข้อเท็จจริงสรุปฟังได้ว่า จำเลยและผู้เสียหายเป็นหุ้นส่วนกันลงทุนซื้อเหล็กในแต่ละครั้ง เมื่อขายเหล็กได้ จำเลยจะสั่งจ่ายเช็คตามยอดเงินที่ขายได้ให้แก่ผู้เสียหายซึ่งจะมียอดเงินในเช็คพิพาททั้งยี่สิบสองฉบับเปรียบเทียบกับรายการซื้อขายเหล็กตามเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่า ขณะที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งยี่สิบสองฉบับแก่ผู้เสียหายตามมูลค่าการขายเหล็กซึ่งยังไม่ได้แบ่งเงินตามข้อตกลงการเป็นหุ้นส่วนกันเป็นยอดเงินสุทธิว่ามีจำนวนเท่าใด ทำให้ขณะนั้นจำเลยยังไม่มีหนี้ที่ผู้เสียหายมีสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยได้ ฉะนั้นเมื่อจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งยี่สิบสองฉบับโดยยังไม่มีมูลหนี้ซึ่งอาจบังคับได้ที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 และคดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน