คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2158/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 วรรคแรก มิได้ บังคับว่า สำเนาเอกสารที่ส่งให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะต้อง เป๋ย เอกสารที่ถ่ายจากต้นฉบับ สำเนาเอกสารที่ทนายโจทก์พิมพ์ ข้อความ ลง ในแบบพิมพ์สัญญากู้ซึ่งเป็นแบบพิมพ์อย่างเดียวกับ ต้นฉบับ สัญญากู้ และ มีข้อความเช่นเดียวกัน โดยทนายโจทก์ลงชื่อ รับรองสำเนาถูกต้อง ถือเป็นสำเนา เอกสารตามบทกฎหมายดังกล่าวแล้ว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยจำนวน 60,011 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน47,300 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากสามี ก่อนฟ้องคดีโจทก์ไม่เคยทวงถามให้จำเลยชำระหนี้จำเลยไม่ได้กู้และรับเงินจากโจทก์ สัญญากู้เงินเอกสารท้ายฟ้องเป็นเอกสารปลอม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 47,300 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 15 เมษายน2527 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน12,711 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 90 วรรคแรก มิได้บังคับว่า สำเนาเอกสารที่ส่งให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งนั้นจะต้องเป็นเอกสารที่ถ่ายจากต้นฉบับ ดังนั้นสำเนาเอกสารที่ทนายโจทก์พิมพ์ข้อความลงในแบบพิมพ์สัญญากู้ซึ่งเป็นแบบพิมพ์อย่างเดียวกับต้นฉบับสัญญากู้ และมีข้อความเช่นเดียวกับสัญญากู้เงิน เอกสารหมาย จ.1 โดยทนายโจทก์ลงชื่อรับรองสำเนาถูกต้องก็ถือเป็นสำเนาเอกสารตามบทกฎหมายดังกล่าวแล้ว เมื่อโจทก์ได้แนบสำเนาเอกสารดังกล่าวมาท้ายฟ้องและส่งให้จำเลยพร้อมกับสำเนาคำฟ้องแล้วสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
พิพากษายืน.

Share