แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาลโดยพิจารณาจากความสุจริตในการดำเนินคดีของโจทก์และผลได้ผลเสียของคู่ความทุกฝ่าย โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดและเพิกถอนการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท ทั้งยื่นคำร้องขอให้ห้ามจำเลยและเจ้าพนักงานที่ดินทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทซึ่งศาลชั้นต้นได้ไต่สวนคำร้องดังกล่าวจนเสร็จแล้ว โจทก์ จึงขอถอนฟ้องโดยให้เหตุผลว่าประสงค์จะยื่นฟ้องจำเลยใหม่ ดังนั้น หากศาลอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องแล้วโจทก์อาจฟ้องจำเลยใหม่และ ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนคำพิพากษาเช่นเดียวกันกับ คดีนี้อีกซึ่งอาจทำให้จำเลยเสียหายเมื่อเป็นเช่นนี้จึงควร ดำเนินการพิจารณาให้เป็นผลเสร็จเด็ดขาดไปในคดีนี้ โจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีอื่นของศาลชั้นต้นฟ้องขอให้บังคับจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ กับขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดและการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์ในคดีดังกล่าว เป็นฟ้องที่มีคำขอเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีตามคำพิพากษา ของศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวซึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 กำหนดให้ว่ากล่าวกันในคดีเดิม โจทก์ต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้อง ในคดีเดิมดังกล่าว จะทำเป็นคำฟ้องมายื่นต่อศาลเป็นคดีใหม่หาได้ไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้น ที่จำเลยที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้องสองสำนวนคือคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 33/2531 และคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 34/2531 ของศาลชั้นต้น เมื่อหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความถึงกำหนดชำระโจทก์ได้นำเงินไปชำระแก่จำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมรับในวันที่ 12 กันยายน 2531 โจทก์ทราบว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีจะทำการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดซึ่งเป็นทรัพย์สินของโจทก์ โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 และเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบว่าโจทก์เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา มีความประสงค์จะเข้าประมูลสู้ราคา แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้เรียกโจทก์เข้าห้องที่มีการขายทอดตลาดจนกระทั่งเวลาประมาณ 12 นาฬิกา โจทก์จึงทราบว่า จำเลยที่ 1เป็นผู้ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวได้ในราคา 28,500 บาท ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดและการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวเพิกถอนหมายบังคับคดีและการขายทอดตลาดทรัพย์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 34/2531 ของศาลชั้นต้น หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 33/2531 และคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 34/2531 ของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่เคยนำเงินไปชำระหนี้แก่จำเลยที่ 1 เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิบัติถูกต้องตามระเบียบและเงื่อนไขตามกฎหมายแล้ว จำเลยที่ 1 ซื้อทรัพย์พิพาทจากการขายทอดตลาดโดยชอบ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทโดยชอบ ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 ส่วนจำเลยที่ 1ไม่อนุญาต
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การเพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดได้ มีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยที่ 1 และพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาประการแรก คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ชอบหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าการที่จะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องหรือไม่นั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 วรรคสอง กำหนดให้เป็นดุลพินิจของศาลศาลจะใช้ดุลพินิจโดยพิจารณาจากความสุจริตในการดำเนินคดีของโจทก์และผลได้ผลเสียของคู่ความทุกฝ่าย คดีนี้นอกจากโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดและเพิกถอนการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแล้ว โจทก์ยังยื่นคำร้องขอให้ห้ามจำเลยและเจ้าพนักงานที่ดินสำนักงานที่ดินจังหวัดขอนแก่น สาขาอำเภอพล ทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาท ซึ่งศาลชั้นต้นได้ไต่สวนคำร้องดังกล่าวจนเสร็จแล้วต่อมาโจทก์จึงขอถอนฟ้องโดยให้เหตุผลว่าประสงค์จะยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 ใหม่ ดังนั้นหากศาลอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องแล้วโจทก์อาจฟ้องจำเลยที่ 1 ใหม่และยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนคำพิพากษาเช่นเดียวกันกับคดีนี้อีก ซึ่งอาจทำให้จำเลยที่ 1 เสียหาย เมื่อเป็นเช่นนี้จึงควรดำเนินการพิจารณาให้เป็นผลเสร็จเด็ดขาดไปในคดีนี้ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องนั้นชอบแล้วปัญหาประการที่สองว่า โจทก์จะฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ กับขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดและการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่33/2531 และคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 34/2531 ของศาลชั้นต้นเป็นคดีนี้ได้หรือไม่ เห็นว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้มีคำขอที่เกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 33/2531 และคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 34/2531 ของศาลชั้นต้นซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 บัญญัติว่า “ถ้าศาลได้ออกหมายบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งลักษณะนี้ ลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบุคคลภายนอกที่มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินตามหมายบังคับคดีนั้นอาจยื่นคำขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีให้มีคำสั่งให้ยกหรือแก้ไขหมายนั้นเสีย… ดังนั้นโจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งของศาลชั้นต้นทั้งสองคดีดังกล่าวจะต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องในคดีดังกล่าว จะทำเป็นคำฟ้องมายื่นต่อศาลเป็นคดีใหม่หาได้ไม่
พิพากษายืน.