แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์จำเลยทำสัญญากันไว้ เมื่อมีข้อโต้เถียงกันเรื่องที่นาที่บ้านว่าให้ที่ดังกล่าวเป็นของลูกจำเลยซึ่งเกิดด้วยนางเอิบบุตรีโจทก์เป็นสัญญาที่ทำขึ้นเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาประนีประนอมที่ใช้ได้ตามกฎหมาย มีผลผูกพันคู่สัญญา โจทก์ไม่มีอำนาจมาฟ้องเรียกทรัพย์พิพาทจากจำเลยเว้นแต่จะฟ้องตามสัญญาประนีประนอมนั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่บ้าน 1 แปลง ที่สวน 1 แปลงที่นา 1 แปลง มีเขตติดต่อกับตำบลละมอ อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรังเมื่อ 18 ปี จำเลยสมรสกับนางเอิบบุตรโจทก์ แล้วอยู่ร่วมเรือนเดียวกับโจทก์ แล้วอาศัยที่ 3 แปลงดังกล่าวทำกินตลอดมา นางเอิบตายมา 11 ปีโดยมีบุตรด้วยกัน 2 คน เมื่อ 3 ปีจำเลยได้นางยกเป็นภรรยา เมื่อเดือน 7 พ.ศ. 2498 โจทก์ออกประกาศจะแบ่งที่ดังกล่าวให้แก่ญาติ จำเลยไปคัดค้าน แล้วเข้าเก็บประโยชน์แต่ผู้เดียวโจทก์เสียหายจึงมาฟ้อง
จำเลยต่อสู้ว่า เรือนเป็นของพันคงบิดาจำเลยซึ่งเป็นสามีของโจทก์ด้วย ขณะนี้เรือนตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายสิทธิ์และ ด.ช.หวนที่สวนยางเป็นของจำเลยโก่นสร้างมา 18 ปี เมื่อพฤษภาคม 2497 จำเลยโจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมให้ที่บ้านที่นาตกเป็นของนายสิทธิ์และ ด.ช.หวนบุตรนางเอิบ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ฯลฯ จึงขอให้ศาลยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้โจทก์แพ้คดี
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้โจทก์ชนะคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมไว้จริงเพื่อระงับข้อพิพาทในเรื่องโจทก์จำเลยเถียงสิทธิกันในทรัพย์พิพาท จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลแพ่งฯ มาตรา 850 โจทก์จึงหมดสิทธิฟ้องจำเลย เว้นแต่จะฟ้องตามสัญญาประนีประนอมในเมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมนั้น จึงพิพากษาให้แก่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น