แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างโจทย์ซึ่งเป็นคนต่างด้าวกับจำเลยซึ่งเป็นคนไทย หาเป็นโมฆะหรือโมฆียะตามกฎหมายไม่ เพราะกฎหมายหาได้ห้ามขาดไม่ให้คนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเสียทีเดียวไม่ คนต่างด้าวยังอาจขออนุญาตถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้อยู่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำการรบกวนรอนสิทธิของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยรื้อรั้วออกไป และห้ามอย่าให้จำเลยมาเกี่ยวข้อง
จำเลยขายที่ดินตามฟ้องใหโจทก์โดยเข้าใจผิดว่า โจทก์เป็นคนไทยอาจถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้ แต่ความจริงโจทก์เป็นคนต่างด้าว สัญญาจึงเป็นโมฆะ จำเลยที่ ๑ จึงบอกเลิกสัญญากับโจทก์และเอาที่ดินไปทำสัญยาจะขายให้จำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๒-๓-๔ ต่อสู้ตามลำดับว่าได้ทำสัญญากัจำเลยที่ ๑ และทำรั้วโดยสุจริต
โจทก์รับว่โจทก์เป็นคนสัญชาติจีน มีหนังสือสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ศาลถามโจทก์ว่าโจทก์จะขออนุญาตซื้อที่ดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือไม่ โจทก์แถลงว่าไม่ขออนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์รับเงิน ๒,๐๐๐ บาทและคืนที่ดินให้จำเลยที่ ๑ ไป
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าสัญญาระหว่าโจทก์ซึ่งเป็นคนต่างด้าวกับจำเลยที่ ๑ หาเป็นโมฆะหรือโมฆียะกรรมตามกฎหมายไม่ เพราะกฎหมายหาได้ห้ามขาดไม่ให้คนต่างด้าวที่ว่าโจทก์จะขออนุญาตซื้อที่พิพาทหรือไม่ หรือจะจัดการต่อไปอย่างไรนั้น เป็นธุระของโจทก์ที่จะพึงกระทำต่อไปภายหน้าเมื่อจำเลยที่ ๑ ได้จัดการแบ่งแยกโฉนดแล้ว ไม่เกี่ยวกับประเด็นความที่จะต้องวินิจฉัยในขณะนี้
คดีเป็นอันฟังสโจทก์ว่า จำเลยที่ ๑ เอาที่พิพาทซึ่งโจทก์ใช้สิทธิครอบครองอยู่โดยชอบไปทำสัญญาจะขายให้จำเลยที่ ๒ ๆ จึงพาจำที่ ๓-๔ เข้ากั้นรั้วในที่พิพาทดังนี้จึงต้องถือว่าจำเลยทั้ง ๔ ร่วมกันทำละเมิดบุกรุกรบกวนรอนสิทธิครอบครองของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจที่จะขับไล่และห้ามไม่ให้จำเลยเกี่ยวข้องกับที่พิพาทตามฟ้องได้
ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้บังคับจำเลยทั้ง ๔ รื้อรั้วออกไปจากที่พิพาท และห้ามไม่ให้จำเลยเกี่ยวข้องกับที่พิพาท