แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยฎีกาว่าศาลรับฟังแต่แผนที่เกิดเหตุกับคำเบิกความของพนักงานสอบสวนแล้ววินิจฉัยว่าจำเลยกระทำโดยประมาทโดยไม่รับฟังพยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์อื่นเป็นการฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 จะขับรถเลี้ยวขวาเข้าซอยโดยไม่ใช้ความระมัดระวังตัดหน้ารถที่จำเลยที่ 2 ขับสวนมาใน ระยะใกล้จนเป็นเหตุชนกัน แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เลี้ยวรถก่อนถึงทางแยกเข้าซอยเพื่อจะขับเลาะ ไหล่ถนนแล้วเกิดเหตุชนกัน ดังนี้เมื่อการชนกันเกิดขึ้นเนื่องจากจำเลยที่ 1 ขับรถเลี้ยวขวาโดยไม่ระมัดระวังต่อรถในทางตรง ศาลย่อมลงโทษจำเลยฐานขับรถโดยประมาทตามข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157ซึ่งเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300 จำคุก 6 เดือน และปรับ 3,000 บาท จำเลยที่ 1 เป็นสตรีไม่ปรากฏว่าเคยกระทำผิดมาก่อน โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 1 ปีจำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43, 157 ปรับ 600 บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ได้ตรวจฎีกาของจำเลยที่ 1 ซึ่งอ้างว่าเป็นข้อกฎหมายตามข้อ ก. โดยอ้างว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังแต่แผนที่เกิดเหตุกับคำเบิกความของพนักงานสอบสวนซึ่งเป็นเพียงความเห็นแล้ววินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 กระทำโดยประมาทโดยไม่รับฟังพยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์อื่น จึงเป็นการรับฟังพยานหลักฐานโดยไม่ชอบนั้นเห็นว่าจำเลยที่ 1 ฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลล่างทั้งสองศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อนี้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาตามข้อ 1. ว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 จะขับรถเลี้ยวขวาเข้าไปในซอยวัดพุทโธภาวนาแล้วไม่ใช้ความระมัดระวังขับรถเลี้ยวขวาตัดหน้ารถจักรยานยนต์ซึ่งจำเลยที่ 2 ขับสวนมาในระยะใกล้จนเป็นเหตุชนกัน แต่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เลี้ยวรถก่อนถึงทางแยกเข้าซอยดังกล่าวเพื่อจะขับเลาะไหล่ถนนแล้วเกิดเหตุรถชนกันจึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่โจทก์ไม่ประสงค์จะลงโทษจำเลยศาลอุทธรณ์จึงลงโทษจำเลยที่ 1 ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ได้นั้น เห็นว่าแม้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ดังกล่าว แต่เมื่อการชนกันเกิดขึ้นเนื่องจากจำเลยที่ 1 กระทำโดยประมาทขับรถเลี้ยวขวาโดยไม่ระมัดระวังต่อรถในทางตรงเช่นนี้ ศาลอุทธรณ์ย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยฐานขับรถโดยประมาทตามข้อเท็จจริงดังกล่าวได้หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษดังที่จำเลยที่ 1กล่าวอ้างในฎีกาไม่”
พิพากษายืน