คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2143/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอหย่าโดยอาศัยความยินยอมหย่าที่โจทก์จำเลยทำเป็นหนังสือกันไว้เป็นข้ออ้าง ส่วนคดีหลังโจทก์อ้างว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปเกินกว่าหนึ่งปี และจำเลยทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง สภาพแห่งข้อหาตลอดจนประเด็นในคดีทั้งสองต่างกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนอันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173
ปัญหาว่าบิดาหรือมารดาควรเป็นผู้ปกครองบุตร มิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อมิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น จะยกขึ้นอ้างอิงในชั้นอุทธรณ์ฎีกามิได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๐๙ มีบุตรด้วยกัน ๒ คน คงมีชีวิตอยู่ ๑ คน คือ เด็กหญิงอัปสร เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗ จำเลยจงใจละทิ้งโจทก์ไปเช่าบ้านอยู่ต่างหาก ไม่อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาจนบัดนี้เกินกว่าหนึ่งปีแล้ว นอกจากนี้จำเลยยังกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันกับโจทก์อย่างร้ายแรง โดยจำเลยฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาในข้อหาเบิกความเท็จ นำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ และในข้อหาฐานปลอมแปลงเอกสารใช้เอกสารปลอมโดยจำเลยมีเจตนาทำลายชื่อเสียโจทก์ เป็นการประพฤติชั่วอีกโสดหนึ่ง ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับโจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๘๒๒/๒๕๑๙ ของศาลแพ่ง ซึ่งคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๓ วรรคสอง (๑) จำเลยมิได้จงใจละทิ้งโจทก์ เหตุที่ออกจากบ้านไปเพราะโจทก์ทารุณทุบตีทำร้ายร่างกายจำเลยอยู่เป็นนิจ และขับไล่จำเลยให้ออกจากบ้านอยู่บ่อยๆ ด้วย ที่จำเลยฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาก็เพราะเห็นว่าโจทก์กระทำความผิดทางอาญา หากโจทก์ได้รับความเสียหายก็เป็นเพราะการกระทำของโจทก์เองขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้อน จำเลยจงใจทิ้งร้าง โจทก์ไปเกินหนึ่งปีจริง พิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ หากไม่ไปก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๘๒๒/๒๕๑๙ ของศาลแพ่งซึ่งขณะนี้คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์นั้น พิจารณาแล้วเห็นว่า คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๘๒๒/๒๕๑๙ โจทก์ฟ้องขอหย่าโดยอาศัยความยินยอมหย่าที่โจทก์จำเลยทำเป็นหนังสือกันไว้เป็นข้ออ้าง ส่วนคดีนี้โจทก์อ้างว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปเกินกว่าหนึ่งปี และจำเลยทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง สภาพแห่งข้อหาตลอดจนประเด็นในคดีทั้งสองต่างกัน ฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนอันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ (๑)และที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยสมควรเป็นผู้ปกครองบุตร ที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ โดยอ้างว่าเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามเนื่องจากไม่ได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นเป็นการไม่ชอบ เพราะปัญหาดังกล่าวเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนนั้น เห็นว่าปัญหาที่ว่าบิดาหรือมารดาควรเป็นผู้ปกครองบุตร มิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อไม่ได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น จะยกขึ้นอ้างอิงในชั้นอุทธรณ์ฎีกามิได้
พิพากษายืน

Share