คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7207/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้ออุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง แม้จะเป็นการอุทธรณ์ในเรื่องอำนาจฟ้องโจทก์อันเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่การจะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว ล้วนต้องฟังข้อเท็จจริงให้เป็นที่ยุติในเบื้องต้นเสียก่อนว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ซึ่งจะต้องมีการใช้สิทธิทางศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 เมื่อจำเลยทั้งสองอุทธรณ์โต้แย้งมาว่าจำเลยทั้งสองได้สิทธิในที่ดินพิพาท โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองมีการใช้สิทธิทางศาลมาก่อน ข้อที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้างการได้สิทธิในที่ดินพิพาทจึงเป็นเพียงการอนุมานของจำเลยทั้งสองแต่เพียงฝ่ายเดียวเพื่อให้เป็นคุณแก่ตนในชั้นอุทธรณ์โดยอาศัยข้อเท็จจริงเพียงว่าจำเลยทั้งสองได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาเป็นเวลาประมาณ 30 ปีแล้วเท่านั้น ซึ่งยังไม่อาจรับฟังในชั้นนี้ได้ว่าเป็นการได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ และในขณะเดียวกันก็ไม่อาจรับฟังได้ว่า ฉ. เจ้าของที่ดินพิพาทคนเดิมเสียสิทธิในที่ดินพิพาทเพราะเหตุดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งสองอันจะทำให้สิทธิของโจทก์ในฐานะผู้รับโอนต้องบกพร่องไปด้วยแต่อย่างใด เมื่อข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงอันจะนำไปสู่การวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ แต่ยังไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวให้เป็นที่ยุติและเป็นคุณแก่จำเลยทั้งสองได้ เพราะไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทในคดีที่จะนำไปสู่กระบวนพิจารณาด้วยพยานหลักฐาน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 เห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลชั้นต้น และยกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองมา จึงชอบแล้ว
คดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่ ไม่ว่าโจทก์จะเรียกค่าเสียหายเป็นค่าเช่าในจำนวนเท่าใด ก็เป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ หรือคดีไม่มีทุนทรัพย์ ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียวและอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลแขวงตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 17 ส่วนเรื่องจำนวนค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมานั้น เป็นเพียงข้อพิจารณาที่นำไปสู่ข้อจำกัดสิทธิในการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคสอง เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 75450 และส่งมอบการครอบครองคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย ห้ามจำเลยทั้งสองเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ และชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ในอัตราเดือนละ 2,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 75450 และส่งมอบการครอบครองคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย และชำระค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 1,500 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 21 พฤษภาคม 2558) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์จนเสร็จสิ้น กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า อุทธรณ์จำเลยทั้งสองในส่วนค่าเสียหายเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนอุทธรณ์ข้ออื่น เมื่อจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ จึงไม่มีประเด็นพิพาทที่จะต้องวินิจฉัยตามข้ออุทธรณ์ และเป็นปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่มิได้ว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลชั้นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ พิพากษาให้ยกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดให้แก่จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองเป็นอุทธรณ์ที่ชอบในอันที่ศาลจะต้องรับไว้พิจารณาหรือไม่ เห็นว่า ในข้อที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์โดยอ้างความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสองว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์อันเป็นการได้กรรมสิทธิ์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม และเป็นเหตุให้นายฉิ่งเจ้าของที่ดินพิพาทคนเดิมเสียสิทธิในที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว นายฉิ่งจึงไม่มีสิทธิโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทตามหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน และแม้การได้สิทธิในที่ดินพิพาทของจำเลยทั้งสอง จะยังไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมาย จำเลยทั้งสองย่อมยกขึ้นต่อสู้โจทก์ซึ่งขาดคุณสมบัติที่จะได้รับความคุ้มครองในฐานเป็นบุคคลภายนอกตามความในบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวได้เพราะโจทก์เป็นหลานของนายฉิ่ง ไม่ใช่บุคคลภายนอก ไม่เป็นผู้ได้กรรมสิทธิ์โดยเสียค่าตอบแทนและไม่สุจริตด้วยนั้น เห็นว่า ข้ออุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองดังกล่าว แม้จะเป็นการอุทธรณ์ในเรื่องอำนาจฟ้องโจทก์อันเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่การจะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว ล้วนต้องฟังข้อเท็จจริงให้เป็นที่ยุติในเบื้องต้นเสียก่อนว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ซึ่งจะต้องมีการใช้สิทธิทางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 เมื่อจำเลยทั้งสองอุทธรณ์โต้แย้งมาว่าจำเลยทั้งสองได้สิทธิในที่ดินพิพาท โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองมีการใช้สิทธิทางศาลมาก่อน ข้อที่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้างการได้สิทธิในที่ดินพิพาทจึงเป็นเพียงการอนุมานของจำเลยทั้งสองแต่เพียงฝ่ายเดียวเพื่อให้เป็นคุณแก่ตนในชั้นอุทธรณ์โดยอาศัยข้อเท็จจริงเพียงว่าจำเลยทั้งสองได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาเป็นเวลาประมาณ 30 ปีแล้วเท่านั้น ซึ่งยังไม่อาจรับฟังในชั้นนี้ได้ว่าเป็นการได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ และในขณะเดียวกันก็ไม่อาจรับฟังได้ว่านายฉิ่ง เจ้าของที่ดินพิพาทคนเดิมเสียสิทธิในที่ดินพิพาทเพราะเหตุดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งสองอันจะทำให้สิทธิของโจทก์ในฐานะผู้รับโอนต้องบกพร่องไปด้วยแต่อย่างใด เมื่อข้อเท็จจริงดังกล่าว เป็นข้อเท็จจริงอันจะนำไปสู่การวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ แต่ยังไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวให้เป็นที่ยุติและเป็นคุณแก่จำเลยทั้งสองได้ เพราะไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทในคดีที่จะนำไปสู่กระบวนพิจารณาด้วยพยานหลักฐาน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 เห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลชั้นต้น และยกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองมา จึงชอบแล้ว
ส่วนที่จำเลยทั้งสองหยิบยกปัญหาเรื่องเขตอำนาจศาลขึ้นมาในชั้นฎีกาว่า โจทก์ฟ้องผิดศาล เนื่องจากโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองเดือนละ 2,000 บาท จึงอยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวงนครปฐมนั้น เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่ ไม่ว่าโจทก์จะเรียกค่าเสียหายเป็นค่าเช่าในจำนวนเท่าใด ก็เป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ หรือคดีไม่มีทุนทรัพย์ ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียวและอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลแขวงตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 25 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 17 ส่วนเรื่องจำนวนค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมานั้น เป็นเพียงข้อพิจารณาที่นำไปสู่ข้อจำกัดสิทธิในการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสองเท่านั้น หาใช่เป็นข้อพิจารณาเรื่องเขตอำนาจศาลด้วย ที่โจทก์ฟ้องศาลจังหวัดมาจึงถูกต้องตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 18 แล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้ยกฟ้องโจทก์ มิได้เป็นฝ่ายเรียกร้องค่าเสียหายหลังฟ้องจึงไม่จำต้องเสียค่าขึ้นศาลอนาคต 100 บาท ที่จำเลยทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลอนาคตมาในชั้นฎีกา จึงเป็นการเสียค่าขึ้นศาลที่เกินไป เห็นควรคืนให้จำเลย
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลอนาคตในชั้นฎีกา 100 บาท ให้จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นนอกจากที่คืนให้เป็นพับ

Share