คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 830/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้คดีนี้จำเลยถูกจำคุกอยู่ที่เรือนจำกลางเขาบิน จังหวัดราชบุรี ในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้อง ซึ่งถือได้ว่าเป็นภูมิลำเนาจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 47 เรือนจำกลางเขาบินจึงเป็นที่อยู่ของจำเลย ศาลชั้นต้นมีอำนาจรับคดีไว้พิจารณาได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 22 (1) แต่บทกฎหมายดังกล่าวมิได้เป็นบทบังคับให้ศาลชั้นต้นจะต้องรับฟ้องไว้พิจารณาเสมอไป แต่อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะรับคดีไว้พิจารณาหรือไม่ เมื่อนับถึงวันที่ศาลฎีกาพิพากษาคดีนี้ เป็นระยะเวลา 4 ปีเศษ ใกล้เวลาที่จำเลยจะพ้นโทษตามคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.2057/2556 ของศาลจังหวัดสมุทรปราการแล้ว ประกอบกับจำเลยให้การปฏิเสธในชั้นสอบสวน ทั้งพยานหลักฐานของโจทก์ก็อยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดสมุทรปราการ การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ในศาลจังหวัดสมุทรปราการที่มูลคดีเกิดจึงเป็นการสะดวกมากกว่า ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจสั่งไม่ประทับฟ้อง จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92, 177 เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายและนับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.2057/2556 ของศาลจังหวัดสมุทรปราการ
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า มูลคดีมิได้เกิดในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น ไม่ปรากฏว่าพยานหลักฐานอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น รวมถึงหากพิจารณาคดีที่ศาลชั้นต้นก็ไม่ปรากฏว่าจะสะดวกอย่างไร จึงไม่ประทับฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เหตุคดีนี้เกิดขึ้นในเขตตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ขณะโจทก์ฟ้องคดีนี้ จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.2057/2556 ของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ให้จำคุก 4 ปี 16 เดือน 15 วัน และปรับ 300,000 บาท โดยถูกจำคุกอยู่ที่เรือนจำกลางเขาบิน จังหวัดราชบุรี
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า มีเหตุสมควรให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22 บัญญัติว่า เมื่อความผิดเกิดขึ้น อ้างหรือเชื่อว่าได้เกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลใด ให้ชำระที่ศาลนั้น แต่ถ้า (1) เมื่อจำเลยมีที่อยู่ หรือถูกจับในท้องที่หนึ่งหรือเมื่อเจ้าพนักงานทำการสอบสวนในท้องที่หนึ่งนอกเขตของศาลดังกล่าว จะชำระที่ศาลซึ่งท้องที่นั้น ๆ อยู่ในเขตอำนาจก็ได้ บทบัญญัติตามมาตรา 22 (1) ดังกล่าวมิได้เป็นบทบังคับที่ศาลชั้นต้นจะต้องรับฟ้องไว้พิจารณาเสมอไป แต่อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะรับคดีไว้พิจารณาหรือไม่ แม้คดีนี้จำเลยถูกจำคุกอยู่ที่เรือนจำกลางเขาบิน จังหวัดราชบุรี ในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้อง ซึ่งถือได้ว่าเรือนจำกลางเขาบินเป็นภูมิลำเนาของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47 เรือนจำกลางเขาบินจึงเป็นที่อยู่ของจำเลย และศาลชั้นต้นมีอำนาจรับคดีไว้พิจารณาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22 (1) แต่การที่จำเลยถูกจำคุก 4 ปี 16 เดือน 15 วัน ตามคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2556 ซึ่งเมื่อนับถึงวันที่ศาลฎีกาพิพากษาคดีนี้เป็นระยะเวลา 4 ปีเศษ ใกล้เวลาที่จำเลยจะพ้นโทษตามคำพิพากษาแล้ว ประกอบกับจำเลยให้การปฏิเสธในชั้นสอบสวน ทั้งพยานหลักฐานของโจทก์อยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดสมุทรปราการ การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ในศาลจังหวัดสมุทรปราการที่มูลคดีเกิดจะเป็นการสะดวกมากกว่า ที่ศาลล่างทั้งสองไม่ประทับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share