คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 54/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ ใช้เอกสารสิทธิปลอมเบิกความเท็จ และนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 จำเลยฝ่ายเดียวฎีกา ดังนี้ ข้อหาฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมเบิกความเท็จและนำสืบแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ จึงถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264,265, 180, 177 และ 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ให้จำคุก 3 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ ใช้เอกสารสิทธิปลอม เบิกความเท็จ และนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ให้จำคุก 3 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยแต่ฝ่ายเดียวฎีกา ดังนี้ข้อหาฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม เบิกความเท็จ และนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ จึงถึงที่สุดตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 แล้ว…พยานหลักฐานของโจทก์จึงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะฟังลงโทษจำเลยในข้อหาฐานปลอมเอกสาร ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษาลงโทษจำเลยไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share