คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 189/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อการที่มีรถยนต์เปิดไฟหน้ารถแล่นสวนทางมาหลายคันเป็นเหตุให้คนขับรถยนต์ของฝ่ายโจทก์มองไม่เห็นทางเดินรถด้านหน้าที่อยู่ไกลหลังแสงไฟของรถยนต์ที่แล่นสวนทางมา คนขับรถยนต์ของฝ่ายโจทก์ควรชะลอความเร็วของรถลงเพื่อให้สัมพันธ์กับระยะทางที่ตนสามารถมองเห็นและหยุดรถได้ทัน หากมีสิ่งกีดขวางอยู่บนทางเดินรถ การที่คนขับรถยนต์ของฝ่ายโจทก์ไม่ระมัดระวังดังกล่าว กลับขับรถฝ่าแสงไฟของรถที่แล่นสวนทางมาโดยไม่ชะลอความเร็วลงให้ปลอดภัย จึงเกิดเฉี่ยวชนถูกรถยนต์ของฝ่ายจำเลย ซึ่งจอดกีดขวางทางเดินรถอยู่ เห็นได้ว่าคนขับรถยนต์ของฝ่ายโจทก์ขับรถยนต์ด้วยความประมาทมิได้ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอกับภาวะเช่นนั้น เหตุที่เกิดความเสียหายขึ้นจึงเป็นเพราะความประมาทของคนขับรถยนต์ของฝ่ายโจทก์ด้วย การกำหนดค่าสินไหมทดแทนจึงตกอยู่ในบังคับแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 223 ที่ว่าฝ่ายผู้ก่อความเสียหายจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ฝ่ายผู้เสียหายเพียงใดต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ โดยพิจารณาว่าความเสียหายได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน80-4625 กาญจนบุรี ไว้จากนายแก้วศักดิ์ บัวแพง จำเลยที่ 1 ที่ 2เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-6653 สุพรรณบุรีและเป็นนายจ้างของนายน้อยไม่ทราบนามสกุล จำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 เมื่อวันที่ 5กุมภาพันธ์ 2528 เวลากลางคืน นายน้อยได้ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 1ที่ 2 บรรทุกไม้ซุงไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ที่ 2 เมื่อขับมาถึงบริเวณตำบลท่ามะขาม อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เป็นเวลากลางคืนไฟข้างรถและไฟท้ายดับ นายน้อยจึงจอดรถเพื่อซ่อม แต่จอดกีดขวางการจราจรโดยล้อรถด้านขวาอยู่บนผิวจราจรและไม่เปิดโคมไฟหรือจุดไฟแสงแดงที่ข้างไม้ซุงที่ยื่นล้ำออกมานอกตัวรถและที่ท้ายรถหรือทำสัญญาณหรือเครื่องหมายอื่นใดเพื่อให้รถอื่นที่แล่นตามหลังมาเห็นได้ในระยะพอสมควร เป็นเหตุให้รถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยซึ่งแล่นตามมาด้วยความเร็วพอสมควรไม่อาจสังเกตเห็นได้ทันประกอบกับมีรถอื่นแล่นสวนทางมา เมื่อแล่นสวนพ้นไปแล้วจึงพบว่ารถยนต์บรรทุกซุงจอดอยู่ในระยะกระชั้นชิดจึงไม่สามารถขับหลบได้ทันเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถยนต์บรรทุกซุงของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ทำให้รถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย โจทก์ได้จ่ายค่าซ่อมรถคันที่รับประกันไว้ไป 31,700 บาท จึงรับช่วงสิทธิมาฟ้อง ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหาย 31,700 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสามให้การทำนองเดียวกันว่า เหตุเกิดเพราะความประมาทเลินเล่อของผู้ขับรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 80-4625 กาญจนบุรีแต่เพียงฝ่ายเดียวเพราะขับมาด้วยความเร็วสูง รถยนต์ลากจูงของจำเลยที่ 1 ที่ 2 จอดซ่อมไฟบนไหล่ทางข้างซ้ายมือพ้นช่องทางเดินรถและบริเวณนั้นมีแสงสว่างจากโคมไฟฟ้าที่เสาไฟริมทางและอาคารใกล้เคียงสามารถมองเห็นกันได้ ความเสียหายของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน80-4625 กาญจนบุรี ไม่เกิน 5,000-8,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เหตุที่รถยนต์ทั้งสองฝ่ายชนกันเกิดจากความประมาทของผู้ขับทั้งสองฝ่ายไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันให้โจทก์ได้รับชดใช้ค่าเสียหายเพียงกึ่งหนึ่ง พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 15,850 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
โจทก์ จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เหตุเกิดจากความประมาทเลินเล่อของคนขับรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฝ่ายเดียว พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 31,700 บาท ให้แก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่นายน้อยจอดรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-6653 สุพรรณบุรี ไว้ริมถนนในลักษณะล้อหน้าและล้อหลังด้านขวาอยู่ในทางเดินรถบนผิวจราจร มีไม้ซุงที่บรรทุกมาบนรถยื่นล้ำออกนอกตัวรถด้านขวาไปในถนน ตามที่ปรากฏในภาพถ่ายหมาย จ.1 ถึง จ.3 เป็นการกีดขวางการจราจร ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืนรถยนต์ดังกล่าวไฟท้ายและไฟด้านข้างตัวรถดับ นายน้อยมิได้แสดงเครื่องหมายหรือสัญญาณใด ๆ ไว้เป็นการไม่ระมัดระวังภยันตรายที่จะเกิดแก่รถยนต์ซึ่งแล่นตามมาจากด้านหลังอาจเฉี่ยวชนถูกไม้ซุงและตัวรถส่วนที่ล้ำกีดขวางผิวจราจรนั้นได้ นายน้อยสามารถใช้ความระมัดระวังในการจอดรถยนต์ให้พ้นทางเดินรถได้เพราะไหล่ถนนบริเวณดังกล่าวยังเหลือพื้นที่อีกมาก ตามที่ปรากฏในภาพถ่ายหมาย จ.1 จ.2และ ป.ล.1 แต่นายน้อยหาได้ทำเช่นนั้นไม่ เป็นเหตุให้นายชัยศักดิ์ซึ่งขับรถหมายเลขทะเบียน 80-4625 กาญจนบุรี ตามหลังมาภายหลังไม่สามารถมองเห็นไม้ซุงและตัวรถส่วนที่ล้ำเข้ามาในทางเดินรถนั้นได้เพราะไม่มีแสงไฟจากโคมท้ายรถและด้านข้างตัวรถเปิดไว้ ประกอบกับมีรถยนต์หลายคัน ซึ่งเปิดไฟหน้ารถส่องทางแล่นสวนมาถึงเกิดเฉี่ยวชนถูกส่วนท้ายและส่วนข้างที่ล้ำออกมานั้น พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมฟังได้ว่าเหตุที่รถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-4625 กาญจนบุรี ชนถูกรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-6653 สุพรรณบุรี เป็นเพราะความประมาทของนายน้อยแต่เนื่องจากปรากฏข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของนายชัยศักดิ์ผู้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-4625 กาญจนบุรี ว่าก่อนที่จะขับชนนั้นมีรถยนต์เปิดไฟส่องทางแล่นสวนมาหลายคันตนมิได้ชะลอความเร็วของรถลงเพราะไม่เห็นรถยนต์คันที่จอดอยู่เนื่องจากไม่มีแสงไฟจากโคมไฟท้ายและด้านข้างตัวรถเปิดไว้เมื่อรถยนต์คันสุดท้ายแล่นสวนผ่านไปรถยนต์ที่ตนขับก็แล่นเข้าชนรถยนต์คันที่จอดอยู่ทันที ดังนี้ย่อมเห็นได้ว่าการที่มีรถยนต์เปิดไฟหน้ารถแล่นสวนมาหลายคันนั้นเป็นเหตุให้นายชัยศักดิ์มองไม่เห็นทางเดินรถด้านหน้าที่อยู่ไกลหลังแสงไฟของรถยนต์ที่แล่นสวนมา นายชัยศักดิ์ควรชะลอความเร็วของรถลง เพื่อให้สัมพันธ์กับระยะทางที่ตนสามารถมองเห็นและหยุดรถได้ทัน หากมีสิ่งกีดขวางอยู่บนทางเดินรถ การที่นายชัยศักดิ์ไม่ระมัดระวังดังกล่าวกลับขับรถฝ่าแสงไฟของรถที่แล่นสวนมาโดยไม่ชะลอความเร็วลงให้ปลอดภัยจึงเกิดเฉี่ยวชนถูกรถยนต์ที่นายน้อยจอดกีดขวางทางเดินรถอยู่ดังกล่าว ย่อมเห็นได้ว่านายชัยศักดิ์ขับรถยนต์ด้วยความประมาทมิได้ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอกับภาวะเช่นนั้น เหตุที่เกิดความเสียหายขึ้นจึงเป็นเพราะความประมาทของนายชัยศักดิ์มีส่วนก่อขึ้นด้วยต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 223 มาบังคับโดยอนุโลมกล่าวคือฝ่ายผู้ก่อความเสียหายจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ฝ่ายผู้เสียหายเพียงใดต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ ข้อสำคัญก็คือความเสียหายนั้นได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร กรณีนี้เห็นได้ว่าหากนายน้อยไม่จอดรถในทางเดินรถกีดขวางการจราจรหรือจอดรถที่เปิดไฟท้ายและไฟด้านข้างตัวรถไว้ก็จะไม่เกิดเหตุขึ้น ดังนั้นนายน้อยจึงเป็นฝ่ายก่อความเสียหายมากยิ่งกว่านายชัยศักดิ์ จึงเห็นควรกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้ นายน้อยต้องรับผิดจำนวน 21,133 บาท จำเลยที่ 1 ที่ 2 ในฐานะนายจ้างและจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ 1จึงต้องร่วมรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวโจทก์ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปจำนวน 31,700 บาท ย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยซึ่งมีต่อจำเลยทั้งสามเพียง21,133 บาท ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสามรับผิดเต็มตามฟ้องนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินจำนวน21,133 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share