แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยขับรถโดยใช้ความเร็วขณะฝนตกหนักและถนนลื่นจึงเสียหลักเข้าปะทะกับรถของโจทก์ซึ่งจอดคร่อมอยู่ในผิวจราจรถือได้ว่าเหตุเกิดขึ้นเพราะจำเลยขับรถโดยประมาท แม้จะฟังว่าโจทก์จอดรถอยู่ในผิวจราจร 90 เซนติเมตร แต่ถนนบริเวณนั้นผิวจราจรกว้างถึง 8 เมตร ยังเหลือผิวจราจรกว้างพอที่จำเลยจะขับรถผ่านไปได้โดยสะดวก จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์มีส่วนประมาทด้วย
โจทก์และจำเลยได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับเรื่องค่าเสียหายไว้ว่า จำเลยยินยอมชำระเงินจำนวนหนึ่งให้แก่โจทก์ หากจำเลยชำระเงินภายในกำหนด โจทก์จะไม่เรียกร้องค่าเสียหายในทางแพ่งต่อไป ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีเงื่อนเวลาสิ้นสุดกำหนดไว้ เมื่อจำเลยไม่ชำระเงินภายในกำหนด ข้อตกลงย่อมสิ้นผลบังคับ มูลหนี้ละเมิดจึงไม่ระงับ และเมื่อจำเลยยกเรื่องข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยเป็นข้อต่อสู้ว่ามูลหนี้ละเมิดระงับ ศาลก็ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่าข้อตกลงตามเอกสารดังกล่าวมีผลให้มูลหนี้ละเมิดระงับหรือไม่ แม้โจทก์จะมิได้ยกประเด็นข้อนี้ขึ้นเป็นข้อต่อสู้ก็ตาม
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 62,430 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์สำนวนแรก และชำระเงิน 6,429 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์สำนวนหลัง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์สำนวนหลังเพิ่มขึ้นอีก 12,000 บาท จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ศาลฎีกาได้พิเคราะห์ปัญหาตามฎีกาจำเลยทั้งสองแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า ขณะเกิดเหตุฝนตกหนักถนนลื่นน้ำเข้าห้ามล้อรถคันที่จำเลยที่ 1 ขับจนห้ามล้อไม่อยู่ รถจึงได้ชนรถยนต์ที่นายเอกชัยโจทก์จอดอยู่ กรณีเป็นเหตุสุดวิสัยนั้น เห็นว่า เหตุที่เกิดขึ้นนี้จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพต่อร้อยตำรวจโทสมเกียรติ พานิชการ พนักงานสอบสวนว่า จำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาท โดยให้ถ้อยคำไว้แต่เพียงว่า จำเลยที่ 1 ขับรถมาถึงที่เกิดเหตุรถได้เสียหลักเข้าปะทะรถที่จอดอยู่เท่านั้น ปรากฏตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อไว้ในฐานะผู้ต้องหาด้วย หากน้ำเข้าห้ามล้อรถจนห้ามล้อไม่ได้ ก็เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 จะต้องอ้างเหตุดังกล่าวเป็นข้อแก้ตัวตั้งแต่แรกแล้ว ข้อต่อสู้ของจำเลยในเรื่องนี้ไม่มีน้ำหนัก รับฟังเป็นความจริงไม่ได้ ขณะเกิดเหตุฝนตกหนัก ย่อมมองเห็นถนนข้างหน้าไม่ชัดเจน ทั้งสภาพของถนนลื่น จำเลยที่ 1 ควรจะขับรถให้ช้าลงและใช้ความระมัดระวังให้มากซึ่งอยู่ในวิสัยที่จะใช้ความระมัดระวังเช่นนั้นได้จำเลยที่ 1 เบิกความว่าในขณะนั้นจำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความเร็วประมาณ50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ศาลฎีกาเห็นว่าในขณะฝนตกหนักและถนนลื่น การขับรถโดยใช้ความเร็วขนาดนั้นอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย การที่รถเสียหลักเข้าปะทะรถซึ่งจอดอยู่ริมถนน จึงถือได้ว่าเหตุเกิดขึ้นเพราะจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทเป็นการละเมิด ที่จำเลยฎีกาว่านายเอกชัยโจทก์จอดรถคร่อมระหว่างไหล่ถนนกับผิวจราจร นายเอกชัยจึงมีส่วนประมาทด้วยนั้น แม้จะฟังว่านายเอกชัยจอดรถคร่อมอยู่ในผิวจราจร 90 เซนติเมตรดังจำเลยอ้าง แต่ถนนบริเวณนั้นผิวจราจรกว้างถึง 8 เมตร ยังเหลือผิวจราจรกว้างพอที่จำเลยที่ 1จะขับรถผ่านไปได้โดยสะดวก ตามพฤติการณ์ยังถือไม่ได้ว่านายเอกชัยโจทก์มีส่วนประมาทด้วย” ฯลฯ
“ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยที่ 1 กับนายสุภัทร อมตพจน์ ผู้รับมอบอำนาจจากนายเอกชัย บูรพชัยศรี ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตกลงเรื่องค่าเสียหายกันตามเอกสารหมาย ล.6 มูลหนี้ละเมิดจึงระงับแล้วนั้น เอกสารหมาย ล.6 มีข้อความเกี่ยวกับค่าเสียหายสรุปได้ว่า นายสุภัทรเรียกร้องค่าซ่อมรถเป็นเงิน 60,000 บาท ค่ารักษาพยาบาลเด็กชายอนุวัตร เด็กชายอนุชาและเด็กชายอนุสรณ์อีก 10,000 บาท จำเลยที่ 1 ยินยอมชำระให้ภายในไม่เกินวันที่ 10 มกราคม 2519 ทั้งนี้นายสุภัทรขอสงวนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวไม่เกินวันที่ 10 มกราคม 2519 หากจำเลยที่ 1 ชำระเงินภายในกำหนด ก็จะไม่เรียกร้องค่าเสียหายในคดีแพ่งต่อไป ซึ่งมีความหมายว่า ถ้าจำเลยที่ 1 ชำระเงินภายในกำหนด ผู้เสียหายจึงจะไม่ใช้สิทธิเรียกค่าเสียหายอีก ข้อตกลงตามเอกสารดังกล่าวจึงมีเงื่อนเวลาสิ้นสุดกำหนดไว้ เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระเงินภายในกำหนด ข้อตกลงนั้นย่อมสิ้นผลบังคับ มูลหนี้ละเมิดจึงไม่ระงับ โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายตามมูลหนี้ละเมิดได้ ที่จำเลยโต้แย้งในฎีกาว่าโจทก์มิได้ยกประเด็นข้อสงวนสิทธิเป็นข้อต่อสู้ ศาลไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้นั้นเห็นว่า จำเลยเป็นฝ่ายยกเรื่องข้อตกลงตามเอกสารหมาย ล.6 เป็นข้อต่อสู้ว่ามูลหนี้ละเมิดระงับ ศาลก็ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่าข้อตกลงตามเอกสารดังกล่าวมีผลให้มูลหนี้ละเมิดระงับหรือไม่ จำเลยจะให้ศาลวินิจฉัยข้อความในเอกสารเฉพาะที่เป็นประโยชน์แก่จำเลยฝ่ายเดียวหาได้ไม่”
พิพากษายืน