แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
++ เรื่อง สัญญา ค้ำประกัน
++ โปรดดูย่อจากหนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม
++ เล่มที่ 8 หน้า 69 ++
++ ขอดูชุดพิเศษโปรดติดต่อห้องบริการเอกสารสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุด) ชั้น 4, 5 ++
ย่อยาว
เรื่อง สัญญา ค้ำประกัน
โจทก์ ฎีกาคัดค้าน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ลงวันที่ ๑๗ เดือน กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๑
ศาลฎีกา รับวันที่ ๕ เดือน กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๒
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เคยเป็นข้าราชการพลเรือน ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ ๖ ระดับ ๖ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ของโจทก์ จำเลยที่ ๑ ได้รับอนุญาตให้ลาไปศึกษาต่อ ณ ประเทศออสเตรเลีย ตั้งแต่วันที่ ๑๖กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ ถึงวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๒๗ โดยได้รับเงินเดือนและเงินอื่นที่ข้าราชการพึงได้รับ รวมทั้งได้รับทุนเป็นเงินไทยและเงินออสเตรเลียมีข้อสัญญาว่า จำเลยที่ ๑ จะต้องรับราชการชดใช้ไม่น้อยกว่า ๒ เท่า ของเวลาที่รับทุน หากไม่รับราชการชดใช้จะต้องชดใช้เงินที่ได้รับจากราชการทั้งสิ้นพร้อมเบี้ยปรับ ๑ เท่า ในการนี้มีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน ปรากฎว่าจำเลยที่ ๑ ไม่รับราชการชดใช้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ จึงต้องชดใช้เงินที่ได้รับไปพร้อมเบี้ยปรับให้โจทก์ คิดอัตราแลกเปลี่ยนในวันฟ้องรวมเป็นเงิน๑,๐๓๐,๓๙๐.๔๓ บาท โจทก์บอกกล่าวแล้วจำเลยที่ ๑ เพิกเฉย ซึ่งจะต้องชำระดอกเบี้ยให้โจทก์อัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตามสัญญา ถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย ๓๕๒,๓๑๐.๘๘ บาท อันจำเลยที่ ๒ จะต้องร่วมรับผิด และโจทก์บอกกล่าวจำเลยที่ ๒ แล้ว ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงินจำนวน ๑,๓๘๒,๗๐๗.๓๑ บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ๑๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๑,๐๓๐,๓๙๖.๔๓ บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๑ กลับมารับราชการชดใช้ให้โจทก์ครบถ้วนตามระยะเวลาที่กำหนดในสัญญาแล้ว ค่าปรับสูงเกินควรโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ย เงินทุนไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นของรัฐบาลออสเตรเลีย ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา คู่ความแถลงร่วมกันว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้ข้าราชการไปศึกษาหรือฝึกอบรมต่างประเทศ โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน ตามฟ้องจริง หากจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาจำเลยที่ ๒ จะยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ซึ่งต่อมาจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญา จำเลยที่ ๑ จะต้องรับผิดตามสัญญาเป็นเงิน ๕๑๕,๒๘๐.๒๒ บาท บวกเบี้ยปรับอีก ๑ เท่า จึงเป็นเงินที่จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดต่อโจทก์ ๑,๐๓๐,๓๙๖.๔๓ บาท ซึ่งในการฟ้องคดี โจทก์บวกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี เข้าในต้นเงินดังกล่าวด้วย รวมเป็นเงินที่จำเลยทั้งสองต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ ๑,๓๘๒,๗๐๗ บาทแล้วจำเลยทั้งสองขอสละประเด็นข้อต่อสู้ การที่จะพิพากษาให้จำเลยรับผิดในยอดหนี้จำนวนเท่าใดนั้น ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดเบี้ยปรับและดอกเบี้ยที่ค้างชำระ ตามที่ศาลเห็นสมควร แล้วโจทก์จำเลยแถลงไม่สืบพยาน ทั้งนี้ ตามรายงานกระบวนพิจารณาวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๔๐
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๑,๐๓๐,๓๙๖.๔๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (๒๓ สิงหาคม ๒๕๓๙) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แก่โจทก์ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๑๐,๐๐๐ บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จะพึงคิดดอกเบี้ยก่อนวันฟ้องให้โจทก์หรือไม่ ปรากฏว่าตามที่โจทก์จำเลยแถลงร่วมกัน ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดเบี้ยปรับและดอกเบี้ย ให้จำเลยรับผิดจำนวนเท่าใด นั้น ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยทั้งสองรับผิดในเบี้ยปรับเต็มจำนวนตามคำฟ้อง ส่วนดอกเบี้ยศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยทั้งสองรับผิดเฉพาะดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ศาลชั้นต้นมีดุลพินิจว่า โจทก์ไม่ควรได้รับดอกเบี้ยก่อนฟ้อง โจทก์ฎีกาขอให้โจทก์ชนะคดีเต็มตามฟ้อง เห็นว่า การที่โจทก์ยินยอมให้ศาลใช้ดุลพินิจกำหนดดอกเบี้ยให้โจทก์ตามที่ศาลเห็นสมควรเช่นนี้ แสดงว่าโจทก์พร้อมที่จะยอมรับในดุลพินิจของศาล เมื่อศาลชั้นต้นมีดุลพินิจกำหนดเป็นประการใด โดยไม่ปรากฏว่าดุลพินิจของศาลชั้นต้นเป็นไปโดยมิชอบ ศาลฎีกาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน จำเลยทั้งสองไม่แก้ฎีกา จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้.