แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีเรื่องก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยร่วมและ น. เป็นคดีอาญาในข้อหาฉ้อโกง เนื่องจากจำเลยร่วมและ น. ร่วมกันหลอกลวงเอาเช็คไปจากโจทก์ และนำเข้าบัญชีของจำเลยร่วมเพื่อเรียกเก็บเงินที่ธนาคารจำเลยที่ 1 แต่โจทก์กับจำเลยร่วมและ น. ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ฐานละเมิดเนื่องจากพนักงานของจำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อ เรียกเก็บเงินตามเช็คซึ่งระบุชื่อผู้ทรงและมีข้อความขีดคร่อมห้ามเปลี่ยนมือเข้าบัญชีของจำเลยร่วม โดยไม่ตรวจสอบว่าเป็นเช็คที่ออกให้แก่บุคคลอื่น เป็นเหตุให้ธนาคารตามเช็คหักเงินจากบัญชีของโจทก์โอนเข้าบัญชีของจำเลยร่วมไป สัญญาประนีประนอมยอมความในคดีก่อนจึงเป็นเรื่องระงับข้อพิพาทในความผิดฐานฉ้อโกงอันเป็นความผิดที่ยอมความได้เป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยร่วมกับ น. หาได้มีผลถึงมูลละเมิดที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในคดีนี้ ความรับผิดในมูลละเมิดของจำเลยที่ 1 จึงยังไม่ระงับสิ้นไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 71,054 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า มูลหนี้ตามฟ้องระงับไปแล้ว เพราะมีการแปลงหนี้ใหม่ โดยนางภรณ์วลีตกลงประนีประนอมยอมความกับโจทก์ยอมชำระเงินตามเช็คทั้งหมดแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เรียกนางพรพิกุลหรือลภนพรเข้ามาเป็นจำเลยร่วมเพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (3) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า โจทก์ได้ตกลงประนีประนอมยอมความกับจำเลยร่วมว่าจะไม่ดำเนินคดีแก่จำเลยร่วมและจำเลยร่วมชำระเงินให้โจทก์ตามที่ตกลงกันแล้ว มูลหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมจึงระงับสิ้นไป ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 600 บาท ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และจำเลยร่วม ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และจำเลยร่วมให้เป็นพับ คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในคดีอาญาที่โจทก์กับจำเลยร่วมและนายนรินทร์ได้ตกลงประนีประนอมยอมความกันนั้น เป็นมูลคดีที่โจทก์ฟ้องร้องดำเนินคดีแก่จำเลยร่วมและนายนรินทร์ในข้อหาฉ้อโกง เนื่องจากจำเลยร่วมและนายนรินทร์ร่วมกันหลอกลวงเอาเช็คไปจากโจทก์ และนำเข้าบัญชีของจำเลยร่วมเพื่อเรียกเก็บเงินที่ธนาคารจำเลยที่ 1 ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ฐานละเมิด เนื่องจากพนักงานของจำเลยที่ 1 กระทำการด้วยความประมาทเลินเล่อ เรียกเก็บเงินตามเช็คซึ่งระบุชื่อผู้ทรงและมีข้อความขีดคร่อมห้ามเปลี่ยนมือ เข้าบัญชีของจำเลยร่วม โดยไม่ตรวจสอบว่าเป็นเช็คที่ออกให้แก่บุคคลอื่น เป็นเหตุให้ธนาคารตามเช็คหักเงินจากบัญชีของโจทก์ โอนเข้าบัญชีของจำเลยร่วมไป สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมและนายนรินทร์เป็นเรื่องระงับข้อพิพาทในทางอาญาในความผิดฐานฉ้อโกงอันเป็นความผิดที่ยอมความกันได้ เป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยร่วมกับนายนรินทร์ หาได้มีผลถึงมูลละเมิดที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในคดีนี้ กรณีทั้งสองเป็นคนละเรื่องกัน ความรับผิดในมูลละเมิดของจำเลยที่ 1 จึงยังไม่ระงับสิ้นไป
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 500 บาท แทนโจทก์.