แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจเงินทุน ในระหว่างที่จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์มีสิทธิเรียกจากลูกค้าได้ในอัตราไม่เกินร้อยละ18.5 ต่อปี ตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยออกให้แก่โจทก์สองฉบับมีข้อกำหนดให้คิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ18 และ 18.5 ต่อปีตามลำดับ และมิได้ระบุไว้ว่าให้คิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันใด จึงต้องคิดดอกเบี้ยในอัตราที่ระบุไว้ในตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับดังกล่าวนับแต่วันที่ลงในตั๋วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 911,968,695เมื่อได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวและครบกำหนดใช้เงินจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาโจทก์ผู้ทรงจึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวจากต้นเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินต่อไปจนกว่าจะชำระเสร็จตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน 2 ฉบับและจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันร่วมกันรับผิดใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมดอกเบี้ย หากไม่ชำระให้นำทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบ
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดี
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์จำนวน1,275,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย และให้จำเลยที่ 2ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในวงเงิน 200,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย โดยดอกเบี้ยให้จำเลยทั้งสองรับผิดในอัตราร้อยละ 18 และ 18.5 ต่อปี ตามที่ระบุในตั๋วสัญญาใช้เงิน 2 ฉบับตามลำดับโดยให้คิดในอัตราดังกล่าวจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น หากไม่ชำระหนี้ ให้โจทก์นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้ได้หากยังไม่พอชำระให้โจทก์บังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ใช้หนี้แก่โจทก์ต่อไปจนครบ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นอันยุติว่าโจทก์ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจเงินทุนจำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินโจทก์รวมเป็นเงินทั้งสิ้น1,275,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์ 2 ฉบับ ฉบับแรกลงวันที่ 1 มิถุนายน 2530สัญญาจะจ่ายเงินจำนวน 275,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปีในวันที่ 1 มิถุนายน 2531 ฉบับที่ 2ลงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2530 สัญญาจะจ่ายเงิน จำนวน1,000,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ 18.5ต่อปี ในวันที่ 12 พฤษภาคม 2531 และในระหว่างทำสัญญาธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์มีสิทธิเรียกจากลูกค้าได้ในอัตราไม่เกินร้อยละ 18.5 ต่อปีตั๋วสัญญาใช้เงิน ครบกำหนดใช้เงิน จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยตามตั๋วสัญญาใช้เงินสองฉบับให้แก่โจทก์มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยตามตั๋วสัญญาใช้เงินสองฉบับดังกล่าวให้แก่โจทก์เพียงใดเห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ 21 หมวด 3ว่าด้วยตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ได้บัญญัติในเรื่องดอกเบี้ยไว้แต่มาตรา 985 บัญญัติให้นำเอาบทบัญญัติมาตรา 911 และ 968ในหมวด 2 ว่าด้วยตั๋วแลกเงินมาบังคับด้วยซึ่งในหมวดดังกล่าวมาตรา 911 บัญญัติว่า “ผู้สั่งจ่ายจะเขียนข้อความกำหนดลงไว้ว่าจำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้นให้คิดดอกเบี้ยด้วยก็ได้และในกรณีเช่นนั้นถ้ามิได้กล่าวลงไว้เป็นอย่างอื่นท่านว่าดอกเบี้ยย่อมคิดแต่วันที่ลงในตั๋วเงิน” และมาตรา 968บัญญัติว่า “ผู้ทรงจะเรียกร้องเอาเงินใช้จากบุคคลซึ่งตนใช้สิทธิไล่เบี้ยนั้นก็ได้คือ
(1) จำเลยเงินในตั๋งแลกเงินซึ่งเขาไม่รับรองหรือไม่ใช้กับทั้งดอกเบี้ยด้วย หากว่ามีข้อกำหนดไว้ว่าให้คิดดอกเบี้ย” ฉะนั้นเมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับมีข้อกำหนดให้คิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ 18 และ 18.5 ต่อปีตามลำดับ และมิได้ระบุไว้ว่าให้คิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันใดจึงต้องคิดดอกเบี้ยในอัตราที่ระบุไว้ในตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับดังกล่าว นับแต่วันที่ลงในตั๋ว คือวันที่ 1 มิถุนายน2530 และวันที่ 12 พฤศจิกายน 2530 ตามลำดับ เมื่อได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวและครบกำหนดใช้เงินจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดนัดโจทก์ผู้ทรงจึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวจากต้นเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับต่อไปจนกว่าจะชำระเสร็จตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคแรกแต่ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับแรกโจทก์เรียกดอกเบี้ยนับแต่วันที่1 มกราคม 2531 ส่วนตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับที่ 2 โจทก์เรียกดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 1 มกราคม 2530ศาลชั้นต้นกำหนดดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับนับแต่วันที่ 1 มกราคม 2531 เท่าที่โจทก์ขอมาในตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับแรก โจทก์มิได้อุทธรณ์โต้เถียงการกำหนดดอกเบี้ยในตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับที่ 2 ปัญหาดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน