คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2136/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มาตรา 168 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งอยู่ในลักษณะ 6 หมวดที่ 3 ส่วนที่ 2 ว่าด้วยความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งหมายถึงค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลสั่งเมื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีว่าความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความในคดีจะตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายใดเพียงใด อันเป็นดุลพินิจของศาลส่วนกรณีที่ศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มก่อนที่จะรับคำร้องขอไว้พิจารณา อันเป็นการสั่งชั้นตรวจรับคำร้องขอของผู้ร้องตามมาตรา 18 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าคำร้องขอของผู้ร้องมีทุนทรัพย์ 500,000 บาท แต่ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลมาในจำนวนทุนทรัพย์เพียง 220,000 บาท อันถือว่าคำร้องขอนั้นมิได้ปิดแสตมป์สมบูรณ์ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งให้ปิดแสตมป์บริบูรณ์ คือ เสียค่าขึ้นศาลให้ครบได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ถ้าผู้ร้องไม่ปฏิบัติตาม ศาลชั้นต้นก็ย่อมมีคำสั่งไม่รับคำร้องขอนั้น คำสั่งไม่รับคำคู่ความเช่นนี้ ผู้ร้องอุทธรณ์และฎีกาได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 227,228 และ 247
ศาลชั้นต้นสั่งว่า คำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องไม่มีมูลที่จะร้องขอ ซึ่งเท่ากับสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอนาถาของผู้ร้อง แล้วสั่งต่อไปว่า ถ้าผู้ร้องประสงค์จะดำเนินคดีเกี่ยวกับคำร้องดังกล่าวต่อไป ก็ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายในกำหนด 15 วัน ถ้าไม่ชำระภายในกำหนดก็ให้ถือว่าทิ้งคำร้อง และสั่งให้ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มผู้ร้องมิได้นำค่าขึ้นศาลมาชำระภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ว่าให้ถือว่าทิ้งคำร้องนั้นมีผลแล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะใช้คำว่า ทิ้งคำร้อง เป็นการคลาดเคลื่อนผลก็เท่ากับศาลชั้นต้นสั่งไม่รับคำร้องนั่นเอง ผู้ร้องมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 วรรคท้าย

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ตามประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ของเจ้าพนักงานบังคับคดี พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นสั่งว่าเรื่องนี้ผู้ร้องขัดทรัพย์ได้เคยยื่นคำร้องเข้ามาแล้ว ขอให้ถอนการยึด ขณะนี้ผู้ร้องยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฉะนั้น ผู้ร้องขัดทรัพย์จะมายื่นคำร้องขัดทรัพย์อีกย่อมไม่ได้ เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ให้ยกคำร้องขัดทรัพย์เสีย ค่าคำร้องให้เป็นพับ ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าผู้ร้องขัดทรัพย์ดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำก็ต้องสั่งยกคำร้องขอขัดทรัพย์อย่างคนอนาถาเสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นก้าวล่วงข้ามไปสั่งยกคำร้องขัดทรัพย์โดยผู้ร้องขัดทรัพย์ยังไม่ได้เสียค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้อง จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบและไม่ถูกต้องตามกฎหมายอันชอบที่จะสั่งให้เพิกถอนแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาเสียใหม่ให้ถูกต้อง พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น โดยให้เพิกถอนการพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ผิดระเบียบเกี่ยวกับผู้ร้องขัดทรัพย์ แล้วพิจารณาสั่งใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสาม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่ว่าคำร้องของผู้ร้องเป็นการขัดทรัพย์ซ้อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง(1) คำร้องของผู้ร้องจึงไม่มีมูลที่จะร้องขอ ถ้าผู้ร้องประสงค์จะดำเนินคดีเกี่ยวกับคำร้องดังกล่าวต่อไป ก็ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายในกำหนด 15 วัน ถ้าไม่ชำระภายในกำหนด ก็ให้ถือว่าทิ้งคำร้อง ต่อมาเจ้าหน้าที่ของศาลรายงานว่าผู้ร้องขอชำระค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้เมื่อทำการยึดเป็นจำนวนราคา 220,000 บาท ส่วนค่าธรรมเนียมอื่นยอมชำระตามระเบียบ ศาลชั้นต้นสั่งว่า “ตามคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2516 ประกอบกับสัญญาท้ายคำร้องดังกล่าว ผู้ร้องขัดทรัพย์อ้างว่าซื้อที่ดินที่โจทก์นำยึดราคา500,000 บาท จึงเท่ากับผู้ร้องยืนยันว่าราคาทรัพย์ในชั้นร้องขัดทรัพย์นี้มีราคา 500,000 บาท ผู้ร้องต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่ร้องขัดทรัพย์ภายในกำหนดเวลาเดิม”

ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลในจำนวนทุนทรัพย์ 500,000 บาทนั้น เป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณาคดีร้องขัดทรัพย์ ฉะนั้น เมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นยังไม่ได้พิพากษา หรือมีคำสั่งชี้ขาดตัดสิน ผู้ร้องจึงอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(1) ยกอุทธรณ์ของผู้ร้อง

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ที่ผู้ร้องฎีกาว่าผู้ร้องอุทธรณ์ฎีกาได้ตามมาตรา 168 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เพราะศาลชั้นต้นได้คำนวณให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลในจำนวนทุนทรัพย์ 500,000บาท ยังไม่เป็นการถูกต้อง ต้องถือเอาจากราคาทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประมาณราคาไว้ คือ 220,000 บาท นั้น บทกฎหมายที่ผู้ร้องอ้างไม่ตรงกับกรณีเรื่องนี้ เพราะมาตรา 168 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งอยู่ในลักษณะ 6 หมวดที่ 3 ส่วนที่ 2 ว่าด้วยความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งหมายถึงค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลสั่งเมื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีว่า ความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความในคดีจะตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายใดเพียงใด อันเป็นดุลพินิจของศาล ส่วนกรณีของผู้ร้องเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มก่อนที่จะรับคำร้องขอไว้พิจารณา อันเป็นการสั่งชั้นตรวจรับคำร้องขอของผู้ร้องตามมาตรา 18 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าคำร้องขอของผู้ร้องมีทุนทรัพย์ 500,000 บาท แต่ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลมาในจำนวนทุนทรัพย์เพียง 220,000 บาทอันถือว่าคำร้องขอนั้นมิได้ปิดแสตมป์สมบูรณ์ ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งให้ปิดแสตมป์บริบูรณ์ คือ เสียค่าขึ้นศาลให้ครบได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ถ้าผู้ร้องไม่ปฏิบัติตาม ศาลชั้นต้นก็ย่อมมีคำสั่งไม่รับคำร้องขอนั้น คำสั่งไม่รับคำคู่ความเช่นนี้ ผู้ร้องอุทธรณ์ได้ตามมาตรา 227, 228 และ 247 ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้สั่งว่าคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องไม่มีมูลที่จะร้องขอซึ่งเท่ากับสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอนาถาของผู้ร้อง แล้วสั่งต่อไปว่าถ้าผู้ร้องประสงค์จะดำเนินคดีเกี่ยวกับคำร้องดังกล่าวต่อไป ก็ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายในกำหนด 15 วัน ถ้าไม่ชำระภายในกำหนด ก็ให้ถือว่าทิ้งคำร้อง และสั่งให้ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มผู้ร้องมิได้นำค่าขึ้นศาลมาชำระภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ว่าให้ถือว่าทิ้งคำร้องนั้นมีผลแล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะใช้คำว่าทิ้งคำร้องเป็นการคลาดเคลื่อนผลก็เท่ากับศาลชั้นต้นสั่งไม่รับคำร้องนั่นเองผู้ร้องมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 วรรคท้าย ที่ผู้ร้องฎีกาว่า ราคาที่ดินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกะประมาณไว้ 220,000 บาท เป็นราคาปานกลางและเป็นราคาที่ดินปัจจุบันยิ่งกว่าราคาในขณะที่ผู้ร้องซื้อ ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขัดทรัพย์คดีนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว และได้ชำระค่าธรรมเนียมในทุนทรัพย์ 220,000 บาทซึ่งศาลชั้นต้นก็เคยได้รับคำร้องไว้แล้ว แต่ครั้งนี้กลับมาสั่งเป็นอย่างอื่นเป็นการคลาดเคลื่อนนั้น ปัญหาข้อนี้ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัย แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปทีเดียวโดยไม่ต้องส่งสำนวนคืนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย และเห็นว่าการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประมาณราคาที่ดินที่ทำการยึดได้กระทำโดยอาศัยหลักเกณฑ์ตามที่กำหนดไว้ในระเบียบราชการ ซึ่งอาจไม่ตรงกับราคาที่แท้จริงได้ แต่ตามคำร้องขอของผู้ร้องปรากฏชัดแจ้งว่าผู้ร้องได้ซื้อที่ดินทั้งสองแปลงมาในราคา500,000 บาท ซึ่งผู้ขายได้รับเงินไปถูกต้องแล้ว เมื่อไม่มีพฤติการณ์แสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น ย่อมถือได้ว่าราคาที่แท้จริงของที่ดินทั้งสองแปลงนั้นคือ 500,000 บาท การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลตามราคาทรัพย์สินที่พิพาท 500,000 บาท จึงเป็นการชอบ

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ไม่รับคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้อง

Share