คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2135/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าทรัพย์ลืมกระเป๋าทิ้งไว้ที่ข้างเกียร์บนรถยนต์ที่จำเลยเป็นผู้ขับขี่ , มีบุคคลอื่นมาพบและเก็บได้ถามว่ากระเป๋าของใคร ผู้โดยสารคนหนึ่งว่าเป็นของเขา ผู้เก็บได้จึงส่งกระเป๋าเงินให้จำเลยไปให้ผู้โดยสารคนนั้นเพราะมาด้วยกัน แต่จำเลยกลับเอาไว้เสียเองเช่นนี้การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานยักยอกมิใช่ลักทรัพย์เพราะเมื่อเจ้าทรัพย์ลืมกระเป๋าเงินทิ้งไว้กรณีเป็นเก็บของตก ความยึดถือครอบครองทรัพย์ย่อมตกอยู่แก่คนกระเป๋ารถ ๆ มอบทรัพย์ให้อยู่ในความยึดถือครอบครองของจำเลยอีกต่อหนึ่ง โดยจำเลยไม่ทราบว่ากระเป๋าเป็นของใคร เมื่อจำเลยเอาไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัวเสียจึงมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์.

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ตาม ก.ม.อาญา ม.๒๙๓ และคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๘๗๘ บาท
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ก.ม. อาญา ม.๒๙๓ จำคุกจำเลย ๖ เดือน และให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๘๗๘ บาทแก่เจ้าทรัพย์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่านายชมภูเก็บกระเป๋าเงินรายนี้ได้ในเบื้องต้นต้องฟังว่าเป็นกรณีเก็บของตก ความยึดถือครอบครองทรัพย์ย่อมตกอยู่แก่นายชมภู ๆ กลับมอบทรัพย์นั้นให้ตกอยู่ในความยึดถือครอบครองของจำเลยอีกต่อหนึ่งโดยคิดว่าจำเลยจะเอาไปให้นายตวง การที่จำเลยรับเอากระเป๋าเงินไปจากนายชมภูจำเลยก็ไม่ทราบว่าเป็นกระเป๋าเงินของเจ้าทรัพย์ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ดังฟ้องโจทก์ หากจะมีความผิดก็เป็นความผิดฐานยักยอกซึ่งโจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ ปล่อยจำเลย
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์นายหนึ่งมีความเห็นแย้งว่าควรพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาได้ประชุมปรึกษาคดีนี้แล้วฟังข้อเท็จจริงว่าขณะเจ้าทรัพย์ชำระเงินเป็นค่าน้ำมันรถที่โดยสารรถยนต์จำเลยมาโดยมีผู้โดยสารแต่เพียงเจ้าทรัพย์กับนายตวง ๒ คน เจ้าทรัพย์หยิบกระเป๋าเงินออกจากกระเป๋าเสื้อหยิบเอาธนบัตรออกไปส่องดูที่วัดไมล์เพื่อรู้ว่าเป็นธนบัตรชนิดใด เมื่อรู้ว่าเป็นธนบัตรฉบับใบละ ๒๐ บาท และ ๑๐ บาทอย่างละ ๑ ฉบับถูกต้องก็ส่งธนบัตรให้จำเลย ส่วนกระเป๋าเงินเจ้าทรัพย์วางไว้ที่โคนขา เจ้าของทรัพย์หยิบกระเป๋าเสื้อผ้าลงจากรถยนต์ไปบ้าน ซึ่งอยู่ห่างจากที่จอดรถประมาณ ๑๕ วา รุ่งเช้าเจ้าทรัพย์หากระเป๋าเงินไม่พบนึกว่าคงตกอยู่บนรถยนต์ของจำเลย แต่ได้ทราบว่ารถยนต์ของจำเลยไปท่าม่วงจึงตามไปสอบถามจำเลยที่ท่าม่วง
จำเลยปฏิเสธว่าไม่เห็นเจ้าทรัพย์ว่าใครเก็บได้ขอกุญแจและทะเบียนปืนคืน ซึ่งความจริงคืนนั้นนายชมภูเก็บกระเป๋าเงินของเจ้าทรัพย์ได้ที่ข้างเกียร์บนรถยนต์ โดยใช้ไฟฉายส่องเห็นและถามว่านี้กระเป๋าของใคร นายตวงผู้โดยสารอีกคนหนึ่งว่ากระเป๋าเงินของเขานายชมภูส่งกระเป๋าเงินให้จำเลย ซึ่งขณะนั้นเดินอยู่ข้างพวงมาลัยรถยนต์ไปให้นายตวงเพราะเขามาด้วยกัน แล้วจำเลยยักยอกเอากระเป๋าเงินนั้นไว้เป็นประโยชน์เสีย ความผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ดังฟ้องโจทก์ไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน.

Share