คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 492/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ได้ความว่าผู้ร้องขัดทรัพย์เป็นภรรยาจำเลย โจทก์นำยึดทรัพย์ซึ่งเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยและผู้ร้อง แม้ผู้ร้องจะเป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วย ผู้ร้องขัดทรัพย์จะขอให้ถอนการยึดทรัพย์รายพิพาททั้งหมดหรือให้ถอนเพียงกึ่งหนึ่งหาได้ไม่แต่ไม่ตัดสิทธิในการที่จะขอให้แบ่งส่วนของตนในทางบังคับคดี

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์นำยึดทรัพย์ของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดใช้หนี้โจทก์ตามคำพิพากษา ผู้ร้องร้องคัดค้านว่าทรัพย์ที่โจทก์ยึดบางอย่างเป็นของผู้ร้องซื้อมาด้วยทุนทรัพย์ของผู้ร้อง ไม่ใช่ของจำเลย ผู้ร้องกับจำเลยได้เสียกันแต่มิได้จดทะเบียนสมรสผู้ร้องไม่ใช่ภรรยาจำเลยตามกฎหมาย หนี้สินระหว่างโจทก์จำเลยเกิดขึ้นโดยสมยอม จึงขอให้ถอนการยึด

โจทก์ให้การว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นของจำเลยทั้งสิ้น จำเลยและผู้ร้องเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยคงอยู่ในบ้านหลังนี้ แต่ไม่แสดงตนเพราะหลบเจ้าหนี้ต่าง ๆ อยู่

ศาลแพ่งพิจารณาแล้วพิพากษาให้ยกคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้อง

ผู้ร้องขัดทรัพย์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาได้ฟังคำแถลงการณ์และประชุมปรึกษาแล้วฟังว่าผู้ร้องและจำเลยเป็นสามีภรรยากันถูกต้องชอบด้วยกฎหมายและฟังว่าทรัพย์รายที่พิพาทที่โจทก์ยึดมาเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยและผู้ร้อง จึงมีปัญหาตามที่ผู้ร้องยกขึ้นเสนอในชั้นนี้ว่าผู้ร้องจะขอให้ถอนยึดทรัพย์รายพิพาททั้งหมด หรือให้ถอนยึดเพียงกึ่งหนึ่งดังที่ผู้ร้องโต้เถียงมาในชั้นนี้ได้หรือไม่นั้นเห็นว่าการที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำยึดทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อขายใช้หนี้ แม้ผู้ร้องขัดทรัพย์จะเป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วยผู้ร้องขัดทรัพย์จะขอให้ถอนการยึดหาได้ไม่ เป็นแต่ไม่ตัดสิทธิในการที่จะขอให้แบ่งส่วนของตนในทางบังคับคดีตาม มาตรา 287 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1483 เท่านั้น ฉะนั้นผู้ร้องขัดทรัพย์จะร้องขอให้ถอนการยึดหาได้ไม่ เหตุนี้จึงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาของผู้ร้องเสีย

Share