คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2120/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของบ้านไม่มีเลขที่ตั้ง อยู่ ถนนจำเริญวิถี ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราชจังหวัด นครศรีธรรมราช ซึ่ง ปลูกอยู่ในที่ดินของ วัดหูน้ำ (ร้าง)จำเลยได้ เช่า บ้านโจทก์ดังกล่าว การที่จำเลยให้การว่าจำเลยอาศัยอยู่ในบ้านไม่มีเลขที่ ตั้ง อยู่ ถนนจำเริญวิถี ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัด นครศรีธรรมราช ซึ่ง เป็นบ้านของจำเลยเองและปลูกอยู่ในที่ดิน วัดหูน้ำ (ร้าง) แสดงให้เห็นว่าจำเลยเข้าใจฟ้องของโจทก์ดี แล้วว่าบ้านที่โจทก์กล่าวในฟ้อง ก็คือบ้านที่จำเลยอาศัยอยู่ ฟ้องโจทก์จึงไม่จำต้องระบุลักษณะของบ้าน บริเวณและอาณาเขตที่ติดต่อ แต่ อย่างใด เป็นเรื่องที่โจทก์นำสืบได้ ในชั้นพิจารณา หาใช่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุมไม่ คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากบ้านเลขที่ 1265 ข.ซึ่ง เป็นบ้านคนละหลังกับบ้านที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยในคดีนี้ ทั้งในคดีก่อนศาลมิได้วินิจฉัยในประเด็นว่า จำเลยเป็นเจ้าของบ้านหลังพิพาทไม่มีเลขที่ในคดีนี้แต่ อย่างใด การที่โจทก์นำสัญญาเช่าฉบับ เดิม ที่ฟ้องคดีก่อนมาฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านหลังพิพาทคดีนี้ จึงไม่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้ วินิจฉัยโดย อาศัยเหตุอย่างเดียวกันอันจะเป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านไม่มีเลขที่ตั้งอยู่ที่ถนนจำเริญวิถี ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งปลูกสร้างในที่ดินวัดหูน้ำ (ร้าง) จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาเช่าบ้านหลังดังกล่าวของโจทก์ มีกำหนดการเช่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2524 ปรากฏว่าตั้งแต่เดือนมกราคม 2526 เป็นต้นมาจำเลยไม่ชำระค่าเช่าให้โจทก์ โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างและบอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านของโจทก์ ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างชำระเป็นเงิน 10,400 บาท และชำระค่าเช่าเดือนละ 400บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะคืนบ้านให้โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเท่ากับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของค่าเช่าที่ค้างชำระ 10,400 บาท ให้โจทก์ทุกเดือนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระค่าเช่าให้โจทก์ครบ
จำเลยให้การว่า จำเลยเคยเช่าบ้านเลขที่ 1265 ข. ของโจทก์ ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 400 บาท แต่จำเลยได้เลิกเช่าและออกจากบ้านดังกล่าวไปนานแล้ว ปัจจุบันจำเลยอาศัยอยู่ในบ้านไม่มีเลขที่ ตั้งอยู่ถนนจำเริญวิถี ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ของจำเลยเอง ซึ่งจำเลยปลูกสร้างขึ้นในที่ดินของวัดหูน้ำ (ร้าง) เพื่อประกอบอาชีพค้าขาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย ก่อนคดีนี้โจทก์เคยทำสัญญาเช่าบ้านฉบับลงวันที่ 13 มิถุนายน2524 มาฟ้องจำเลยครั้งหนึ่งแล้ว ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 290/2527หมายเลขแดงที่ 472/2527 ของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช ศาลได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำจำเลยไม่เคยติดค้างค่าเช่าบ้านโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเช่าจากจำเลยฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เนื่องจากโจทก์ไม่ระบุลักษณะบ้านให้ชัดว่าโจทก์เป็นเจ้าของบ้านหลังใด ตั้งอยู่ที่ใด ติดต่อกับใครบ้าง ทำให้จำเลยไม่สามารถให้การต่อสู้คดีได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านหลังพิพาทไม่มีเลขที่ ถนนจำเริญวิถี ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราชจังหวัดนครศรีธรรมราช ของโจทก์ ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างชำระจำนวน 10,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 400 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากบ้านหลังพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า เรือโทสุวรรณเดชวรรณ สามีโจทก์ เป็นเจ้าของบ้านไม่มีเลขที่ ตั้งอยู่ถนนจำเริญวิถี ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราชหลังพิพาท ซึ่งปลูกสร้างในที่ดินของวัดหูน้ำ (ร้าง) โดยสามีโจทก์ทำสัญญาเช่ามาจากกรมการศาสนา ตามหนังสือสัญญาเช่าที่ดิน เอกสารหมาย จ.1 สามีโจทก์ได้ซื้อวัสดุมาก่อสร้างบ้านหลังพิพาท รายละเอียดปรากฏตามเอกสารหมาย จ.6 และว่าจ้างให้นายนิคม แก้วจำนงค์ ปลูกสร้างโดยเสียค่าจ้างปลูกสร้างเป็นเงิน 1,000 บาท ต่อมาวันที่ 13 มิถุนายน2524 จำเลยได้ทำสัญญาเช่าบ้านหลังพิพาทกับโจทก์ ตกลงค่าเช่าเดือนละ400 บาท กำหนดชำระค่าเช่าภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน โดยโจทก์จำเลยได้ การที่จำเลยให้การว่า จำเลยอาศัยอยู่ในบ้านไม่มีเลขที่ ตั้งอยู่ถนนจำเริญวิถี ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบ้านของจำเลยเองและปลูกอยู่ในที่ดินวัดคูน้ำ(ร้าง) แสดงให้เห็นว่าจำเลยเข้าใจฟ้องของโจทก์ดีแล้วว่าบ้านที่โจทก์กล่าวในฟ้องก็คือบ้านที่จำเลยอาศัยอยู่ จำเลยจึงสามารถต่อสู้คดีได้ว่าเป็นบ้านของจำเลยเอง ฟ้องโจทก์จึงไม่จำต้องระบุลักษณะของบ้าน บริเวณและอาณาเขตที่ดินติดต่อแต่อย่างใด เป็นเรื่องที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณา หาใช่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุมไม่
ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 472/2527 ของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีก่อนเป็นเรื่องโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากบ้านเลขที่ 1265 ข. ซึ่งเป็นบ้านคนละหลังกับบ้านที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ ทั้งในคดีก่อนศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชมิได้วินิจฉัยในประเด็นว่า จำเลยเป็นเจ้าของบ้านหลังพิพาทไม่มีเลขที่นี้แต่อย่างใด การที่โจทก์นำสัญญาเช่าฉบับเดิมที่ฟ้องคดีก่อนมาฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านหลังพิพาทคดีนี้ จึงไม่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอันจะเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148…”
พิพากษายืน.

Share