คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2119/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน จำกัดเป็นการแปรสภาพไปตามกฎหมายไม่ใช่เป็นการโอนหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา306จึงไม่ต้องทำหลักฐานการโอนหนี้เป็นหนังสือเมื่อโจทก์ส่งสำเนาหนังสือมอบอำนาจต่อศาลจำเลยมิได้คัดค้านความถูกต้องแท้จริงของเอกสารดังกล่าวแต่ประการใดถือได้ว่าจำเลยยอมรับว่าสำเนาหนังสือมอบอำนาจนั้นถูกต้องแล้วศาลรับฟังเอกสารนั้นได้ ปัญหาว่าจำเลยทั้งสองได้รับหนังสือทวงถามและบอกกล่าวให้ไถ่ถอนจำนองจากโจทก์แล้วหรือไม่จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ไว้จึงเป็นเรื่องที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดต่อมาเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2536 โจทก์จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน จำกัด โจทก์มอบอำนาจให้นายสมพงษ์ สุทินเป็นผู้ฟ้องคดีแทน เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2534 จำเลยที่ 1กู้ยืมเงินจากโจทก์สาขาปากพนังจำนวน 1,000,000 บาท จำเลยที่ 1 ได้รับเงินไปครบถ้วนแล้วในวันทำสัญญา จำเลยที่ 1 ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บได้ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นงวดงวดละ 6 เดือน ในอัตรางวดละ 200,000 บาทชำระภายในวันที่5 ของเดือน ชำระงวดแรกวันที่ 1 ถึง 5 กุมภาพันธ์ 2535 และจะชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2537 แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะเรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ก่อนกำหนด วันกู้เงินจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันการกู้เงินของจำเลยที่ 1 ไว้แก่โจทก์โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมจนกว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้ครบถ้วน แม้โจทก์จะผ่อนระยะเวลาการชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 และแจ้งหรือไม่ได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบก็ตาม อีกทั้งจำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5 ไว้แก่โจทก์เป็นเงิน1,000,000 บาท โดยยอมเสียดอกเบี้ยตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและตกลงว่าหากขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ยังขาดอยู่เท่าไร จำเลยที่ 2 ยอมรับผิดใช้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วนหลังจากกู้เงินแล้วจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้โจทก์บ้างบางส่วน คิดถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2536 จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ต้นเงิน1,000,000 บาท กับหนี้ดอกเบี้ย 193,986.15 บาท รวมหนี้เป็นเงิน1,193,986.15 บาท โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยทั้งสองให้ชำระหนี้และบังคับจำนอง จำเลยทั้งสองได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้วแต่เพิกเฉยเมื่อคิดดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง ดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นอีกเป็นเงิน 21,917.80 บาท ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินให้แก่โจทก์จำนวน 1,215,903.95 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 16 ต่อปี จากต้นเงิน 1,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น หากไม่ชำระให้บังคับจำนองโดยนำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์ออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์หากทรัพย์ที่จำนองขายได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งสองให้การในทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 1ทำสัญญากู้ และจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันการกู้เงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด จริง แต่จำเลยทั้งสองไม่เคยทำสัญญากับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากโจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้นายสมพงษ์ สุทิน ดำเนินคดีแทนโจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายวันไม่ถูกต้อง จำเลยที่ 1 ค้างชำระดอกเบี้ยโจทก์ไม่เกิน 50,000 บาท และจำเลยทั้งสองไม่เคยได้รับหนังสือทวงถามหรือบังคับจำนอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน1,215,903.95 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ16 ต่อปี จากต้นเงิน 1,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จถ้าจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้บังคับกับทรัพย์ที่จำนองตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5ตำบลแหลมตะลุมพุก อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราชพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เดิมโจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ต่อมามีพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด พ.ศ. 2535 ออกมาบังคับใช้ซึ่งมาตรา 185บัญญัติว่า “บริษัทเอกชนที่จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทแล้วย่อมได้ทั้งทรัพย์สิน หนี้ สิทธิ และความรับผิดของบริษัทเอกชนเดิมทั้งหมด”ดังนั้น เมื่อโจทก์ได้จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน จำกัดเป็นการแปรสภาพไปตามกฎหมายไม่ใช่เป็นการโอนหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 จึงไม่ต้องทำหลักฐานการโอนหนี้เป็นหนังสือดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา
ปัญหาข้อสองว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายสมพงษ์ สุทินฟ้องคดีมีหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีนายสมพงษ์ สุทิน เบิกความประกอบหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 จำเลยทั้งสองไม่ได้นำสืบหักล้างให้เป็นอย่างอื่นจึงฟังได้ว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้นายสมพงษ์ สุทินฟ้องคดีนี้ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมายจ.2 เป็นสำเนาไม่ใช่ต้นฉบับนั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์ส่งสำเนาหนังสือมอบอำนาจต่อศาล จำเลยทั้งสองมิได้คัดค้านความถูกต้องแท้จริงของเอกสารดังกล่าวแต่ประการใด ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองยอมรับว่าสำเนาหนังสือมอบอำนาจนั้นถูกต้องแล้ว ศาลรับฟังเอกสารนั้นได้ และวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 215,903.95 บาท
ปัญหาข้อสุดท้ายว่า จำเลยทั้งสองได้รับหนังสือทวงถามและบอกกล่าวให้ไถ่ถอนจำนองจากโจทก์แล้วหรือไม่ เห็นว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้อุทธรณ์ข้อนี้ไว้ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยนี้ให้
พิพากษายืน

Share