คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7086/2552

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับผู้รับเหมาร่วมกันทำละเมิด แต่การเป็นผู้รับเหมาอาจเป็นผู้รับจ้างทำของหรือเป็นลูกจ้างจำเลยที่จำเลยจ้างแรงงานก็ได้ โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้ว่าจ้างให้ผู้รับเหมาทำการตอกเสาเข็มอันเป็นลักษณะของการจ้างทำของและตามคำให้การของจำเลยก็มิได้ให้การว่า จำเลยเป็นผู้ว่าจ้างทำของแต่เป็นคำให้การยอมรับว่าจำเลยเป็นผู้ตอกเสาเข็ม ตามคำฟ้องและคำให้การประเด็นแห่งคดีจึงมีเพียงว่าจำเลยเป็นผู้กระทำละเมิดหรือไม่เท่านั้น ไม่มีประเด็นว่าจำเลยเป็นผู้ว่าจ้างทำของตาม ป.พ.พ. มาตรา 428 ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่จำเลยเป็นผู้ว่าจ้างทำของไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 428 เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นแห่งคดีจึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 87, 142, 177 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 88 หมู่ที่ 5 ตำบลยุ้งทะลาย อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี จำเลยเป็นเจ้าของโรงงานอภิชาตโลหะกิจ ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินที่ปลูกบ้านโจทก์ ระหว่างวันที่ 9 ถึง 17 พฤศจิกายน 2545 จำเลยทำการก่อสร้างอาคารโรงงานขนาดใหญ่ โดยจำเลยได้จ้างวานผู้รับเหมาให้ตอกเสาเข็มคอนกรีตขนาดใหญ่ประมาณ 40 ต้น เพื่อใช้เป็นฐานรองรับน้ำหนักอาคารโรงงาน ผู้รับเหมาตอกเสาเข็มตามการจ้างวาน และทำตามคำสั่งและแบบแปลนที่จำเลยเป็นผู้กำหนดและจำเลยร่วมกับผู้รับเหมาในการควบคุมการทำงานของคนงานที่ตอกเสาเข็มด้วยและได้ทำการตอกเสาเข็มด้วยความประมาทเลินเล่อเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้บ้านโจทก์ทรุดตัวลง ผนังบ้านที่ก่อด้วยปูนซีเมนต์แตกร้าวทั้งหลัง โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 50,000 บาท ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยก่อสร้างอาคารโรงงานเป็นอาคารชั้นเดียว จำเลยตอกเสาเข็มเพียงเสาละต้น ลึกประมาณ 6 เมตร เพื่อรองรับเสาอาคาร อาคารที่จำเลยก่อสร้างห่างจากแนวเขตที่ดินของโจทก์ประมาณ 20 เมตร ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ก่อนตอกเสาเข็มจำเลยได้ล้อมรั้วคอนกรีตเทคานดินรอบที่ดินของจำเลยเป็นการป้องกันความเสียหายส่วนหนึ่ง สภาพบ้านโจทก์จำเลยอยู่ในชนบทนับตั้งแต่จำเลยจำเลยเริ่มก่อสร้าง โจทก์พยายามร้องเรียน ร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐแต่เมื่อเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่โจทก์ร้องเรียนมาตรวจสอบข้อเท็จจริง ก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย การตอกเสาเข็มของจำเลยมีผู้ใหญ่บ้านและผู้ปกครองท้องที่มาดูแลและเพื่อเป็นพยานยืนยันว่าไม่ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 5 พฤศจิกายน 2546) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 4,000 บาท
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์รับรองว่ามีเหตุสมควรฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นผู้ว่าจ้างทำของไม่ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 428 เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นแห่งคดีจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87, 142, 177 วรรคสอง หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยก่อสร้างโรงงานจำเลยโดยจ้างวานผู้รับเหมาให้ตอกเสาเข็ม การตอกเสาเข็มกระทำขึ้นตามการจ้างวานและทำตามคำสั่งและแบบแปลนที่จำเลยเป็นผู้กำหนดขึ้นและจำเลยเป็นผู้ร่วมกันกับผู้รับเหมาในการควบคุมการทำงานของคนงานที่ตอกเสาเข็มด้วย การตอกเสาเข็มได้กระทำโดยความประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จึงเป็นการบรรยายฟ้องว่าจำเลยกับผู้รับเหมาร่วมกันทำละเมิด ผู้รับเหมาเป็นผู้รับจ้างทำของก็ได้ เป็นลูกจ้างจำเลยที่จำเลยจ้างแรงงานก็ได้ โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้ว่าจ้างให้ผู้รับเหมาทำการตอกเสาเข็มอันเป็นลักษณะของการจ้างทำของ และตามคำให้การของจำเลยก็มิได้ให้การว่า จำเลยเป็นผู้ว่าจ้างทำของแต่อย่างใด แต่เป็นคำให้การยอมรับโดยชัดแจ้งว่าจำเลยเป็นผู้ตอกเสาเข็ม ตามคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยประเด็นแห่งคดีจึงมีเพียงว่าจำเลยเป็นผู้กระทำละเมิดหรือไม่เท่านั้น ไม่มีประเด็นว่าจำเลยเป็นผู้ว่าจ้างทำของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 428 ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นผู้ว่าจ้างทำของ ไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 428 เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นแห่งคดีจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87, 142, 177 วรรคสอง ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น คดีมีปัญหาวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยเป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่และค่าเสียหายมีเพียงใด โจทก์มีตัวโจทก์ นายสุชิน และนายวรศักดิ์เป็นพยานเบิกความยืนยันว่า การตอกเสาเข็มที่ใช้ในการปลูกสร้างโรงงานของจำเลยทำให้บ้านโจทก์ได้รับความเสียหายเสาปูนชั้นล่างทรุด คานบนแตกและฝาผนังร้าว ตามภาพถ่ายสภาพความเสียหายของบ้านโจทก์หมาย จ.1 ถึง จ.3 ซึ่งแสดงให้เห็นสภาพความเสียหายชัดเจน โจทก์ได้ให้นางสุชินไปตามนายลิขิต ซึ่งเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลมาดูขณะที่มีการตอกเสาเข็ม โดยโจทก์มีนายลิขิตเป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า ได้มาดูความเสียหายที่บ้านโจทก์ ปรากฏว่ามีรอยแตกร้าวบริเวณดาดฟ้าส่วนหน้า นายลิขิตได้ไปตามปลัดและช่างองค์การบริหารส่วนตำบลยุ้งทะลายและปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลไปจากจำเลยมาเจรจา จำเลยรับว่าจะเอาสว่านมาเจาะนำส่วนที่จะตอกเสาเข็มและจำเลยรับว่า จะซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นที่บ้านโจทก์ แสดงว่าบ้านโจทก์ได้รับความเสียหายจากการตอกเสาเข็มของจำเลย จำเลยก็เบิกความรับว่า ได้มีการตกลงเจรจากับฝ่ายจำเลยและรับว่าจะซ่อมแซมความเสียหายของบ้านโจทก์จริงแต่อ้างลอยๆ ว่า เนื่องจากเห็นว่าเป็นเพื่อนบ้านกันไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์และบ้านโจทก์ได้รับความเสียหาย สำหรับข้อที่ว่าบ้านโจทก์ได้รับความเสียหายเพียงใดนั้น โจทก์มีตัวโจทก์ นางสุชินและนายวรศักดิ์เป็นพยานเบิกความว่า หลังเกิดเหตุได้ให้ช่างประเมินราคาค่าเสียหายที่ต้องซ่อมแซมตามใบประเมินราคาค่าซ่อมแซมเอกสารหมาย จ.6 ซึ่งมีรายละเอียดรายการที่เสียหาย ราคาค่าซ่อมแซม รวมเป็นเงิน 50,000 บาท จำเลยนำสืบปฏิเสธต่อสู้ลอยๆ ว่าหากจะซ่อมแซมเสียค่าแรง 5,000 บาท ค่าปูนและทราย 2,000 บาท เท่านั้น โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 กำหนดให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 50,000 บาท เหมาะสมแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,200 บาท แทนโจทก์

Share