คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6795/2552

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นผู้ออกเช็ค ปรากฏว่ามีการแก้ไขวันที่ออกเช็คของปีพ.ศ.2544 เป็น พ.ศ.2541 แต่ไม่ได้ความว่าถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงเมื่อใด อาจถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงภายหลังจากออกเช็ค คือ ในระหว่างที่เช็คอยู่ในความครอบครองของโจทก์ก็ได้ ทั้งเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่ไม่ประจักษ์และเช็คตกอยู่ในมือของโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงโดยชอบกรณีต้องด้วย ป.พ.พ. มาตรา 1007 วรรคสอง จึงฟังได้ว่าฝ่ายจำเลยออกเช็คให้แก่โจทก์ตั้งแต่ปี 2541 เมื่อโจทก์นำเช็คมาฟ้องเกิน 1 ปี นับแต่วันที่เช็คพิพาทถึงกำหนด จึงขาดอายุความตามมาตรา 1002

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 1 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ และได้เชิดจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2542 จำเลยที่ 3 ซึ่งอ้างเป็นหุ้นส่วนและผู้จัดการสาขาหาดใหญ่ของจำเลยที่ 2 หรือจำเลยที่ 1 เชิดให้จำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ร่วมกันสั่งจ่ายเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาย่อยถนนรัถการ (หาดใหญ่) เลขที่เช็ค 1277835 ลงวันที่ 25 มีนาคม 2542 จำนวนเงิน 150,000 บาท โดยจำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คและจำเลยที่ 3 ซึ่งอ้างว่าเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะเป็นหุ้นส่วนและผู้จัดการสาขาหาดใหญ่ของจำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อด้านหลังเช็คพร้อมประทับตราของจำเลยที่ 2 โดยยินยอมร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ 3 ที่เป็นผู้สั่งจ่ายเช็ค แล้วจำเลยทั้งสาม โดยจำเลยที่ 3 ได้นำเช็คดังกล่าวไปแลกเงินสดจากโจทก์จำนวน 150,000 บาท ต่อมาเมื่อเช็คถึงกำหนดชำระโจทก์นำไปเรียกเก็บเงินธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ครั้นต่อมาประมาณเดือนมิถุนายน 2542 จำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัวและฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 2 ได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาหาดใหญ่ เลขที่ 2066143 ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2544 จำนวนเงิน 200,000 บาท จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อด้านหลังเช็คพร้อมประทับตราของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยทั้งสามได้มอบเช็คดังกล่าวให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้แทนเช็คฉบับลงวันที่ 25 มีนาคม 2542 ที่เรียกเก็บเงินไม่ได้ และได้รวมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี เข้าไปด้วย เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระโจทก์ได้นำเช็คเรียกเก็บเงินธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2544 โดยให้เหตุผลว่า โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยทั้งสามต้องร่วมรับผิดตามเช็คต่อโจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 206,575 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 200,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การว่า เช็คฉบับลงวันที่ 25 มีนาคม 2542 ไม่มีมูลหนี้แต่อย่างใด จำเลยที่ 3 ออกเช็คดังกล่าวเพื่อค้ำประกันการขายลดเช็คที่จำเลยที่ 2 ได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ของจำเลยที่ 2 ในวงเงิน 150,000 บาท ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเนื่องจากมีการแก้ไขเพิ่มเติมปีที่สั่งจ่ายเงินตามเช็คพิพาท เช็คพิพาทจึงเป็นเช็คปลอมโจทก์ไม่อาจนำมาฟ้องได้ และดอกเบี้ยที่รวมไว้ในเช็คพิพาทเป็นโมฆะ จำเลยที่ 3 กระทำในฐานะตัวแทนจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 206,575 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 200,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ ส่วนค่าทนายความโจทก์ว่าความเองจึงไม่กำหนดให้
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 9 จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรมนางสาวสุจินต์ จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 9 อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองให้ตกเป็นพับ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 2 และเป็นบิดาของจำเลยที่ 3 ซึ่งจำเลยที่ 3 ก็เป็นหุ้นส่วนของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 เป็นผู้สั่งจ่ายเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาย่อยถนนรัถการ (หาดใหญ่) ลงวันที่ 25 มีนาคม 2542 จำนวน 150,000 บาท แต่เช็คดังกล่าวธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน ตามเช็คและใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 ส่วนเช็คพิพาทนั้นจำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งจ่าย แต่ด้านหลังของเช็คจำเลยที่ 3 ได้ลงลายมือชื่อและมีการประทับตราของจำเลยที่ 2 ไว้ โดยเช็คดังกล่าวมีข้อความระบุว่าเช็คถึงกำหนดชำระในวันที่ 26 มิถุนายน 2544 และธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2544 โดยให้เหตุผลว่าโปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย ตามเช็คและใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 และกองพิสูจน์หลักฐานได้ตรวจพิสูจน์เช็คพิพาทแล้ว มีความเห็นว่ามีการแก้ไข พ.ศ. จาก 2541 เป็น 2544 โดยน่าจะมีการแก้ไขหมายเลข 1 เป็นเลข 4 อันเป็นเลขอารบิค ตามรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมาย ล.5 ดังนี้ คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในเบื้องต้นก่อนว่า เช็คพิพาทที่มีการแก้ไขเลขพ.ศ. จาก 2541 เป็น 2544 ใครเป็นผู้แก้ไข ตามปัญหาดังกล่าวตัวโจทก์เบิกความอ้างว่า เมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2542 จำเลยที่ 1 ได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทตามเอกสารหมาย จ.4 จำนวนเงิน 200,000 บาท ซึ่งเป็นเช็คลงวันที่ 26 มิถุนายน 2544 โดยมีจำเลยที่ 3 สลักหลังและประทับตราของจำเลยที่ 2 ชำระหนี้แก่โจทก์แทนเช็คฉบับลงวันที่ 25 มีนาคม 2542 ที่จำเลยทั้งสามนำไปขายลดเช็คแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 150,000 บาท ซึ่งธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยโจทก์ได้รวมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี เป็นเวลา 27 เดือน เป็นเงิน 50,600 บาท แต่ฝ่ายจำเลยขอชำระเพียง 50,000 บาท จึงได้ยอดเงินรวม 200,000 บาท เห็นว่า โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่า ฝ่ายจำเลยเป็นผู้แก้ไขหรือยินยอมให้แก้ไขอันเป็นเหตุให้จำเลยต้องรับผิด เพราะการแก้ไขตัวเลขในปี พ.ศ. นั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญ ซึ่งกองพิสูจน์หลักฐานผู้เชี่ยวชาญที่ได้ตรวจพิสูจน์ลายมือเขียนตัวเลขในช่องวันที่ในเช็คตามเอกสารหมาย จ.4 เปรียบเทียบกับตัวเลขของจำเลยที่ 3 ที่เขียนต่อหน้าศาล และในสมุดต้นขั้วเช็ค เอกสารหมาย ล.2 ผู้เชี่ยวชาญก็ได้ให้ความเห็นว่าลายมือเขียนตัวเลขทั้งหมดยกเว้นตัวเลขที่ขีดเส้นใต้แดงเป็นลายมือของบุคคลเดียวกัน ส่วนลายมือเขียนตัวเลขที่ขีดเส้นใต้สีแดง มีการเขียนต่อเติม ทำให้ลักษณะพิเศษของการเขียนไม่ชัดเจน จึงไม่อาจตรวจลงความเห็นให้เป็นหลักฐานอย่างหนึ่งอย่างใดได้ ดังนั้น คงฟังได้เพียงว่าฝ่ายจำเลยเป็นผู้ออกเช็คนี้เท่านั้น จะฟังเลยไปว่าฝ่ายจำเลยแก้ไขเปลี่ยนแปลงเช็คพิพาทยังไม่ได้ เพราะไม่ได้ความว่าเช็คพิพาทถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงเมื่อใด อาจถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงภายหลังการออกเช็ค คือ ในระหว่างที่เช็คอยู่ในความครอบครองของโจทก์ก็เป็นได้เช่นกัน เมื่อโจทก์ไม่มีพยานแสดงให้เห็นได้เลยว่า ฝ่ายจำเลยแก้ไขตัวเลข 4 ซึ่งเป็นตัวเลขตัวสุดท้ายของปี พ.ศ.2544 ในเช็คพิพาทโดยไม่ทราบว่าใครเป็นผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญ เพราะมิฉะนั้นก็จะขาดอายุความนำมาฟ้องร้องกันไม่ได้ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1007 วรรคหนึ่ง ว่า “ถ้าข้อความในตั๋วเงินใด หรือในคำรับรองตั๋วเงินรายใด มีผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญโดยที่คู่สัญญาทั้งปวงผู้ต้องรับผิดตามตั๋วเงินมิได้ยินยอมด้วยหมดทุกคนไซร้ ท่านว่าตั๋วเงินนั้นก็เป็นอันเสียเว้นแต่ยังคงใช้ได้ต่อคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้นหรือได้ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น กับทั้งผู้สลักหลังในภายหลัง” ซึ่งก็ไม่ปรากฏว่า ฝ่ายจำเลยหรือโจทก์ได้ยินยอมให้มีการแก้ไขดังกล่าว ทั้งการเปลี่ยนแปลงแก้ไขนี้ก็ปรากฏว่า เป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่ไม่ประจักษ์ ซึ่งโจทก์ก็ไม่ทราบมาก่อน พยานโจทก์คือนายเกษม พนักงานธนาคารตำแหน่งเจ้าหน้าที่อำนวยการอาวุโสก็เบิกความว่า รายการที่ปรากฏในเช็คไม่มีการแก้ไขธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาทโดยให้เหตุผลว่า “โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย” แสดงว่าเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจตรวจดูได้ด้วยตาเปล่าเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่ไม่ประจักษ์ และกรณีต้องถือว่าเช็คพิพาทตกอยู่ในมือของโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงโดยชอบ กรณีต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1007 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า “แต่หากตั๋วเงินใดได้มีผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญ แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ประจักษ์ และตั๋วเงินนั้นตกอยู่ในมือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ทรงคนนั้นจะเอาประโยชน์จากตั๋วเงินนั้นก็ได้เสมือนดังว่ามิได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลย และจะบังคับใช้เงินตามเนื้อความเดิมแห่งตั๋วนั้นก็ได้” ซึ่งเนื้อความเดิมแห่งเช็คนั้นก่อนมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข ตามรายงานการตรวจพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญ ให้ความเห็นว่า ตัวเลขเดิมน่าจะเป็นเลข 1 ซึ่งก็สอดคล้องกับทางนำสืบของฝ่ายจำเลยว่า ได้ออกเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ตั้งแต่ปี 2541 จึงฟังได้ว่าฝ่ายจำเลยออกเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ตั้งแต่ปี 2541 เมื่อโจทก์นำเช็คพิพาทมาฟ้องคดีนี้เกิน 1 ปี นับแต่วันที่เช็คพิพาทถึงกำหนด คดีของโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002 ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share