แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยออกเช็คพิพาทสั่งจ่ายเงินให้แก่โจทก์โดยระบุชื่อพ. ภริยาโจทก์ หรือผู้ถือเป็นผู้รับเงิน เมื่อปรากฏว่าเช็คพิพาทเป็นตราสารที่เปลี่ยนมือได้ จึงต้องถือเอาข้อความที่ปรากฏในเช็คเป็นสำคัญ เมื่อข้อความในเช็คพิพาทระบุชื่อพ. หรือผู้ถือเป็นผู้รับเงิน เมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนดชำระเงินพ. นำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีของตนเพื่อเรียกเก็บเงินและธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จึงต้องถือว่าในวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินอันเป็นวันที่ความผิดเกิดขึ้นนั้นพ. เป็นผู้ทรงเช็คพิพาท หาใช่เป็นตัวแทนโจทก์ในการเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ เมื่อ พ. เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทในขณะความผิดเกิดขึ้น พ. จึงเป็นผู้เสียหายที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คพิพาทในขณะความผิดเกิดขึ้น โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 (1),(2)จำคุก 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าจำเลยออกเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ลงวันที่ 30 ตุลาคม 2537 สั่งจ่ายเงิน 200,000 บาท ให้แก่โจทก์โดยระบุชื่อนางพรพิมล เทศสลุต ภริยาโจทก์ หรือผู้ถือเป็นผู้รับเงิน เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระเงิน นางพรพิมลนำเช็คเข้าบัญชีของนางพรพิมลเพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทในฐานะผู้รับเงินและผู้ถือเพราะมิได้มีการขีดฆ่าคำว่าผู้ถือในเช็คพิพาทออก นางพรพิมลเป็นเพียงผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินแทนโจทก์เพื่อนำเงินมาให้โจทก์เท่านั้น เห็นว่า เช็คเป็นตราสารที่เปลี่ยนมือได้ จึงต้องถือเอาข้อความที่ปรากฏในเช็คเป็นสำคัญเมื่อข้อความในเช็คพิพาทระบุชื่อนางพรพิมลหรือผู้ถือเป็นผู้รับเงิน ครั้นเช็คพิพาทถึงกำหนดชำระเงินนางพรพิมลนำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีของตนเพื่อเรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จึงต้องถือว่าในวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินอันเป็นวันที่ความผิดเกิดขึ้นนั้นนางพรพิมลเป็นผู้ทรงเช็คพิพาท หาใช่เป็นตัวแทนโจทก์ในการเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ เมื่อนางพรพิมลเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทในขณะความผิดเกิดขึ้นนางพรพิมลจึงเป็นผู้เสียหายที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค โจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คพิพาทในขณะความผิดเกิดขึ้น จึงไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน