แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าเดิมที่ดินของโจทก์ทั้งสองแปลงตามสำเนาโฉนดที่ดินเลขที่7836และ7838เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข1เป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินโฉนดเลขที่1694ของจำเลยซึ่งจำเลยได้แบ่งแยกขายให้ผู้อื่นแล้วโอนต่อมาจนถึงโจทก์จำเลยได้ตกลงกับผู้ซื้อให้มีถนนยาวตลอดแนวที่ดินของจำเลยกว้างประมาณ3เมตรเพื่อออกสู่ทางสาธารณะปรากฏตามแผนที่ทางพิพาทเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข4ทางดังกล่าวเป็นทางจำเป็นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ขอให้บังคับจำเลยให้จดทะเบียนแบ่งแยกโฉนดเลขที่1694ทางด้านทิศใต้ซึ่งติดกับที่ดินของโจทก์มีความกว้าง3เมตรยาวตลอดแนวที่ดินให้เป็นทางจำเป็นสำหรับที่ดินโฉนดเลขที่7836และ7838ดังนี้เมื่อพิจารณาคำฟ้องของโจทก์คำขอท้ายฟ้องภาพถ่ายโฉนดที่ดินเลขที่7836และ7838ของโจทก์เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข1แผนที่ทางพิพาทเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข4และภาพถ่ายโฉนดที่ดินเลขที่1694ของจำเลยเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข2ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องแล้วปรากฏว่าเมื่อแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่1694ของจำเลยแล้วมีจำนวนทั้งหมด17แปลงและที่ดินโฉนดเลขที่7836และ7838ของโจทก์2แปลงถูกที่ดินแปลงอื่นที่แบ่งแยกดังกล่าวอีก15แปลงล้อมอยู่ทุกด้านคำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่กล่าวอ้างว่าที่ดินของจำเลยที่แบ่งแยกเป็นเหตุให้ที่ดิน2แปลงซึ่งต่อมาได้โอนมาเป็นของโจทก์ไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะแล้วโจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่ดิน2แปลงดังกล่าวย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยเปิดทางจำเป็นบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1350คดีจึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดว่าที่ดินโฉนดเลขที่1694ของจำเลยกว้าง3เมตรยาวตลอดแนวที่ดินเป็นทางจำเป็นสำหรับที่ดินโฉนดเลขที่7836และ7838ของโจทก์หรือไม่ ที่ดินของโจทก์เดิมเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินของจำเลยต่อมาเมื่อจำเลยแบ่งแยกขายที่ดิน2แปลงของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะดังนั้นการที่จำเลยแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่1694ออกเป็นที่ดินแปลงย่อยรวมทั้งที่ดินของโจทก์เป็นเหตุให้ที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะโจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินอันเป็นทางจำเป็นบนที่ดินโฉนดเลขที่1694ของจำเลยซึ่งอยู่ติดทางสาธารณะเพื่อออกสู่ทางสาธารณะได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1350 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1350บัญญัติให้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นโดยผลของกฎหมายโจทก์มีสิทธิแต่เพียงให้จำเลยเปิดทางจำเป็นให้เท่านั้นโดยจำเลยไม่จำต้องไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่7836 และโฉนดเลขที่ 7838 ตำบลคลองมะเดื่อ อำเภอกระทุ่มแบนจังหวัดสมุทรสาคร เดิมที่ดินของโจทก์เป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินของจำเลย ต่อมาจำเลยแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 7836ให้นางสาวประณต เล็กสวาสดิ์ และที่ดินโฉนดเลขที่ 7838 ให้นางประนอม สัมฤทธิ์สุวรรณ โดยจำเลยตกลงกับบุคคลทั้งสองว่าให้ที่ดินที่แบ่งแยกทั้งสองแปลงมีถนนกว้าง 3 เมตร ทางด้านทิศใต้ของที่ดินยาวตลอดแนวที่ดินของจำเลยและของที่ดินที่แบ่งแยกเพื่อให้เป็นทางรถยนต์เข้าออกสู่ทางสาธารณะ ต่อมานางสาวประณตและนางประนอมโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 7836 และเลขที่ 7838 ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของนางพิรุณ ยมจินดา แล้วโอนต่อมาเป็นของโจทก์การโอนกรรมสิทธิ์ดังกล่าวผู้โอนและผู้รับโอนต่างก็ทราบว่าที่ดินของจำเลยทางด้านทิศใต้นั้นได้ตกลงกันไว้เป็นทางสำหรับรถยนต์เข้าออกกว้าง 3 เมตร แต่สภาพของที่ดินปัจจุบันมีทางเพียง 1 เมตรเพื่อออกสู่ทางสาธารณะซึ่งรถยนต์ไม่สามารถเข้าออกได้ จำเลยก็ไม่ได้ทำการแบ่งแยกให้เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะได้ ทางดังกล่าวเป็นทางจำเป็นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โจทก์แจ้งให้จำเลยไปดำเนินการแบ่งแยกเพื่อทำเป็นทางกว้าง 3 เมตร ยาวตลอดที่ดินทางด้านทิศใต้หลายครั้ง แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหายโดยไม่สามารถนำรถยนต์เข้าออกไปยังที่ดินของโจทก์ทั้งสองแปลงดังกล่าวได้ โจทก์จึงขอคิดค่าเสียหายในส่วนนี้จากจำเลยด้วย ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 1694 ตำบลคลองกระทุ่มแบนอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ทางด้านทิศใต้ซึ่งติดกับที่ดินของโจทก์มีความกว้าง 3 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินให้เป็นทางจำเป็นสำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 7836 และ 7838 ตำบลคลองมะเดื่ออำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหากจำเลยไม่ดำเนินการ ขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย กับขอให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ3,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะดำเนินการแบ่งแยกที่ดินเสร็จ
จำเลยยื่นคำให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยไม่เคยรู้จักหรือเคยมีนิติสัมพันธ์กับโจทก์มาก่อน จำเลยไม่เคยตกลงยินยอมให้มีถนนกว้าง 3 เมตร ตามฟ้องของโจทก์ เพราะจำเลยขายที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวให้บุคคลอื่นมิใช่โจทก์มาสิบกว่าปีแล้วทั้งมิได้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานให้ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวได้ทางจำเป็น เพราะที่ดินทั้งสองแปลงมีทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะนอกจากทางที่พิพาทนี้ ที่ดินของโจทก์เดิมใช้ทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะผ่านที่ดินด้านทิศตะวันตกซึ่งเป็นของบุคคลอื่นไม่เคยใช้ทางพิพาท ที่ดินของโจทก์มีสภาพรกร้าง หากนำออกให้เช่าหรือทำประโยชน์อย่างอื่นจะได้ค่าเช่าหรือผลประโยชน์ตอบแทนเดือนละไม่เกิน 100 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาข้อแรกว่า ตามคำฟ้องของโจทก์มีความหมายว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็น จึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์นอกคำฟ้องนั้นไม่ชอบ และตามพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยต้องเปิดทางจำเป็นให้โจทก์กว้าง 3 เมตร เห็นว่า โจทก์ฟ้องโดยยกขึ้นอ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า เดิมที่ดินของโจทก์ทั้งสองแปลงตามสำเนาโฉนดที่ดินเลขที่ 7836 และ 7838 ตำบลคลองมะเดื่อ อำเภอกระทุ่มแบนจังหวัดสมุทรสาคร เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 เป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 1694 ของจำเลยซึ่งจำเลยได้แบ่งแยกขายให้ผู้อื่น แล้วโอนต่อมาจนถึงโจทก์ จำเลยได้ตกลงกับผู้ซื้อให้มีถนนยาวตลอดแนวที่ดินของจำเลยกว้างประมาณ 3 เมตร เพื่อออกสู่ทางสาธารณะปรากฏตามแผนที่ทางพิพาทเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 ทางดังกล่าวเป็นทางจำเป็นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ขอให้บังคับจำเลยให้จดทะเบียนแบ่งแยกโฉนดเลขที่ 1694 ทางด้านทิศใต้ซึ่งติดกับที่ดินของโจทก์มีความกว้าง 3 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินให้เป็นทางจำเป็น สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 7836 และ 7838 ดังนี้เมื่อพิจารณาคำฟ้องของโจทก์ คำขอท้ายฟ้อง ภาพถ่ายโฉนดที่ดินเลขที่ 7836 และ 7838 ของโจทก์เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1แผนที่ทางพิพาทเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 และภาพถ่ายโฉนดที่ดินเลขที่ 1694 ของจำเลยเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องแล้ว ปรากฏว่าเมื่อแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่1694 ของจำเลยแล้วมีจำนวนทั้งหมด 17 แปลง และที่ดินโฉนดเลขที่ 7836และ 7838 ของโจทก์ 2 แปลง ถูกที่ดินแปลงอื่นที่แบ่งแยกดังกล่าวอีก15 แปลง ล้อมอยู่ทุกด้าน คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่กล่าวอ้างว่าที่ดินของจำเลยที่แบ่งแยกเป็นเหตุให้ที่ดิน 2 แปลง ซึ่งต่อมาได้โอนมาเป็นของโจทก์ไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะแล้วโจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่ดิน 2 แปลงดังกล่าวย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยเปิดทางจำเป็นบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 คดีจึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 1694ของจำเลยกว้าง 3 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินเป็นทางจำเป็นสำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 7836 และ 7838 ของโจทก์หรือไม่แต่ปรากฏว่าประเด็นข้อนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งและศาลฎีกาเห็นว่าเพื่อไม่ให้คดีล่าช้าเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ย้อนสำนวนคืนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1) ปัญหานี้ข้อเท็จจริงฟังได้เบื้องต้นตามที่โจทก์และจำเลยนำสืบว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งสองแปลงตามโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 1694 ของจำเลย ตามเอกสารหมายจ.8 โจทก์นำสืบโดยอ้างนางประณต เค้าฉิม(นางสาวประณต เล็กสวาสดิ์) และนายพิรุณ ยมจินดา เป็นพยานเบิกความว่า ขณะจำเลยทำสัญญาแบ่งขายที่ดินให้ได้ตกลงกันที่ดินของจำเลยไว้เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะกว้างพอให้รถยนต์สวนกันได้ และโจทก์เบิกความเป็นพยานว่าทางที่จำเลยตกลงกันไว้กับนางประณตและนางประนอม 3 เมตรนั้น กว้างเพียง 1 เมตรรถยนต์สวนกันไม่ได้ นายกุศล รักษาเจ้าพนักงานที่ดินเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า ที่ดินของโจทก์2 แปลง เมื่อแบ่งแยกออกจากที่ดินของจำเลย พยานไม่ทราบว่าจะมีทางออกสู่ทางสาธารณะอย่างไร แต่เท่าที่ดูตามระวางแผนที่ไม่ปรากฏจำเลยอ้างตนเองเบิกความเป็นพยานว่า ทางออกจากที่ดินของจำเลยไปถึงทางสาธารณะมี 2 ทาง ทางหนึ่งยาวไม่ถึง 50 เมตรส่วนอีกทางหนึ่งยาวประมาณ 50 เมตร ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมายล.2 ทางดังกล่าวผ่านที่ดินของนางยุพิน สร้องอำภา ซึ่งขณะนั้นนางยุพินไม่ได้หวงห้ามใช้ทางดังกล่าว ทางเข้าออกซึ่งผ่านที่ดินของนางยุพินมีความกว้างประมาณ 1 เมตร และเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า ทางเดินตามเอกสารหมาย ล.2 ไม่ได้อยู่ในที่ดินของจำเลย ทางทั้ง>สองทางมีตั้งแต่ยังไม่ได้แบ่งแยกที่ดินของจำเลยออกเป็นแปลงย่อย ทาง 2 ทาง จะต้องผ่านที่ดินของนางยุพิน วัดหงอนไก่ แล้วออกสู่ทางสาธารณะ นางยุพินซื้อที่ดินของจำเลยก่อนแบ่งแยกและมาแบ่งแยกพร้อมกันเมื่อปี 2523ที่ดินของนางยุพินคือที่ดินเลขที่ 1002 เห็นว่า ตามแผนที่ในโฉนดที่ดินของโจทก์เอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 แผนที่ในโฉนดที่ดินเลขที่ 1694 ของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.8 และตามคำเบิกความของจำเลยดังกล่าวปรากฏว่าเมื่อแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่1694 ของจำเลยแล้วมีที่ดินแปลงย่อยรวม 17 แปลง ที่ดินของโจทก์เลขที่ 1004 และ 1006 ถูกที่ดินแปลงที่แบ่งแยกเลขที่ 124 ซึ่งเป็นที่ดินของจำเลยที่ดินเลขที่ 822, 821 และ 1002 ซึ่งเป็นของนางยุพินล้อมอยู่ทุกด้านข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินของโจทก์เดิมเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินของจำเลย ต่อมาเมื่อจำเลยแบ่งแยกขาย ที่ดิน 2 แปลง ของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ทางเดินที่จำเลยเบิกความว่ามีอยู่ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย ล.2 ไม่ปรากฏในแผนที่ในโฉนดที่ดินของโจทก์และจำเลยตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 และ จ.8 ทั้งจำเลยเองก็เบิกความรับว่าทางเดินดังกล่าวต้องผ่านที่ดินของนางยุพินทางดังกล่าวจึงเป็นทางที่ใช้เดินโดยถือวิสาสะ ไม่ใช่ทางออกไปสู่ทางสาธารณะที่โจทก์มีสิทธิใช้ตามกฎหมายซึ่งนางยุพินจะปิดทางนั้นเสียเมื่อใดก็ได้ และข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำเบิกความของจำเลย แผนที่ทางพิพาทและแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.3และ ล.2 ว่า มีทางสาธารณะติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 1694 ของจำเลยการที่จำเลยแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 1694 ออกเป็นที่ดินแปลงย่อยรวมทั้งที่ดินของโจทก์เป็นเหตุให้ที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินอันเป็นทางจำเป็นบนที่ดินโฉนดเลขที่ 1694 ของจำเลยซึ่งอยู่ติดทางสาธารณะเพื่อออกสู่ทางสาธารณะได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาต่อไปว่าจำเลยต้องเปิดทางจำเป็นดังกล่าวกว้างเท่าใด ข้อนี้นางประณตและนางพิรุณพี่ของนางประณตและนางประนอมพยานโจทก์เบิกความว่า จำเลยตกลงกับนางประณตและนางประนอมที่จะกันที่ดินไว้ให้กว้างพอที่จะให้รถยนต์สวนกันได้แต่เมื่อไม่ปรากฏว่านางประณตและนางประนอมได้เรียกร้องให้จำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงจนการโอนที่ดินของนางประณตและนางประนอมให้ผู้อื่นต่อ ๆ มาจนถึงโจทก์โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจึงไม่มีสิทธิที่จะขอให้บังคับให้จำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงที่จำเลยทำไว้กับนางประณตและนางประนอมอันเป็นบุคคลสิทธิผูกพันกันเฉพาะระหว่างบุคคลดังกล่าวได้ แต่เมื่อโจทก์เรียกร้องเอาทางเดินอันเป็นทางจำเป็นบนที่ดินของจำเลยได้ตามที่วินิจฉัยข้างต้น ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องเปิดทางจำเป็นให้โจทก์กว้างเท่าใด ข้อนี้โจทก์เบิกความว่าหลังจากโจทก์ได้รับโอนที่ดินทั้งสองแปลงแล้ว 2 วัน โจทก์ทวงถามให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาที่ทำกับเจ้าของที่ดินเดิม โดยเสนอที่จะทำเองและจะให้เงินชดเชยแก่จำเลย แต่จำเลยไม่ยอมทำทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเนื่องจากมีผู้มาติดต่อจะขอเช่าที่ดินของโจทก์เพื่อทำโรงงาน เมื่อมาเห็นสภาพของที่ดินจึงไม่ยอมเช่า โจทก์ไม่สามารถนำรถยนต์เข้าออกถึงที่ดินของโจทก์ได้และโจทก์ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า บ้านโจทก์อยู่ห่างจากบ้านจำเลยประมาณ 2 กิโลเมตร ที่ดินของโจทก์ทั้งสองแปลงปัจจุบันไม่มีสิ่งปลูกสร้างและมีหญ้าขึ้นแต่ไม่ถึงกับสูงท่วมศีรษะจากคำเบิกความของโจทก์ดังกล่าวแสดงว่าโจทก์มิได้อยู่อาศัยในที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวคงปล่อยให้เป็นที่ดินว่างเปล่า ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง โจทก์อ้างความจำเป็นที่ขอให้จำเลยเปิดทางกว้าง 3 เมตรเพื่อให้รถยนต์เข้าและออกจากที่ดินของโจทก์เพียงว่าจะมีผู้มาขอเช่าที่ดินของโจทก์เพื่อทำโรงงานเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าโจทก์เองมีความจำเป็นต้องนำรถยนต์เข้าและออกจากที่ดินของโจทก์อย่างไร ซึ่งที่ดินและวิธีทำทางผ่านนั้นต้องเหลือให้พอควรแก่ความจำเป็นของโจทก์ผู้มีสิทธิจะผ่าน กับทั้งต้องคำนึงถึงที่ดินของจำเลยที่ล้อมอยู่ให้เสียหายแต่น้อยที่สุดที่จะเป็นได้กรณีจึงยังไม่มีเหตุผลแห่งความจำเป็นในขณะนี้เพียงพอที่โจทก์จะขอให้จำเลยเปิดทางจำเป็นในที่ดินของจำเลยกว้างถึง 3 เมตรได้ ดังนี้ เมื่อพิเคราะห์ข้อเท็จจริงตามท้องสำนวนดังกล่าวแล้วเห็นสมควรกำหนดให้จำเลยเปิดทางจำเป็นบนที่ดินโฉนดเลขที่1694 ตามแผนที่ทางพิพาทเอกสารหมาย จ.3 กว้าง 1 เมตรยาวตลอดแนวที่ดินดังกล่าวของจำเลยสำหรับที่ดินโฉนดเลขที่7836 และ 7838 ของโจทก์โจทก์ฎีกาข้อสุดท้ายว่า เมื่อจำเลยมีหน้าที่ต้องแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ตามข้อตกลงที่จำเลยทำไว้กับเจ้าของที่ดินเดิม แต่จำเลยไม่ทำ เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายจำเลยต้องชำระค่าเสียหายตามที่โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบแล้วว่ามีบุคคลมาขอเช่าที่ดินในอัตราเดือนละ 3,000 บาท ให้โจทก์ เห็นว่าเมื่อวินิจฉัยแล้วว่าโจทก์ไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินให้เป็นทางจำเป็นนั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350บัญญัติให้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นโดยผลของกฎหมาย โจทก์มีสิทธิแต่เพียงให้จำเลยเปิดทางจำเป็นให้เท่านั้น โดยจำเลยไม่จำต้องไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อีก
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยเปิดทางจำเป็นบนโฉนดที่ดินเลขที่ 1694 ตำบลคลองมะเดื่อ อำเภอกระทุ่มแบนจังหวัดสมุทรสาคร ตามแผนที่ทางพิพาทเอกสารหมาย จ.3 กว้าง1 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินดังกล่าวของจำเลยสำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 7836 และ 7838 ตำบลคลองมะเดื่อ อำเภอกระทุ่มแบนจังหวัดสมุทรสาคร ของโจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3