แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยปลอมลายมือชื่อของโจทก์ร่วมในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์ร่วมเพื่อขอให้เปิดบัญชีออมทรัพย์กับธนาคารโดยใช้ชื่อโจทก์ร่วมในคำขอเปิดบัญชีและปลอมตัวอย่างลายมือชื่อของโจทก์ร่วมในคำขอเปิดบัญชีตามเอกสารหมาย จ.1 แล้วนำไปยื่นต่อพนักงานธนาคาร ทำให้ธนาคารหลงเชื่อว่าเป็นคำขอเปิดบัญชีเงินฝากของโจทก์ร่วม จึงออกสมุดเงินฝากในนามของโจทก์ร่วมให้ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยจึงเป็นการปลอมและใช้เอกสารปลอม
ส่วนการที่จำเลยนำแบบพิมพ์ใบถอนเงินของธนาคารรวม 15 ฉบับ มากรอกข้อความโดยเขียนชื่อโจทก์ร่วมในช่องชื่อบัญชี เขียนเลขที่บัญชี จำนวนเงิน และลงลายมือชื่อปลอมของโจทก์ร่วมในช่องเจ้าของบัญชีและช่องผู้รับเงิน แล้วนำใบถอนเงินดังกล่าวไปยื่นต่อพนักงานของธนาคาร ทำให้พนักงานของธนาคารหลงเชื่อว่าเป็นใบถอนเงินที่แท้จริงจึงจ่ายเงินให้จำเลยไป แม้ว่าโจทก์ร่วมจะมิได้เปิดบัญชีตามเอกสารหมาย จ.1 และเงินในบัญชีดังกล่าวมิใช่เงินของโจทก์ร่วม ซึ่งโจทก์ร่วมอาจจะไม่ได้รับความเสียหายต่อทรัพย์สินโดยตรงก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับหลักฐานทางการเงินในนามของโจทก์ร่วมในระบบบัญชีธนาคารดังกล่าวให้แตกต่างไปจากความเป็นจริง อันจะเป็นผลให้โจทก์ร่วมและธนาคารดังกล่าวเสียชื่อเสียงไม่ได้รับความเชื่อมั่นไว้วางใจในสังคมและในการประกอบธุรกิจ อันเป็นประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วมและธนาคารแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นการปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมรวม 15 กระทง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 268, 91 และ 33 ริบของกลาง และให้นับโทษของจำเลยในคดีนี้ติดต่อกับโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 550/2546 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา นายอุกฤษณ์ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 (ที่ถูก 264 วรรคแรก), 265, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก ตามมาตรา 268 วรรคสอง แต่กระทงเดียว จำคุก 1 ปี ฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 ตามมาตรา 268 วรรคสอง แต่กระทงเดียว จำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 15 กระทง แต่ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน 10 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว จึงให้ลงโทษจำคุกจำเลยรวม 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) นับโทษของจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 550/2546 ของศาลชั้นต้น ริบของกลาง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2540 มีการขอเปิดบัญชีออมทรัพย์เลขที่ 013 – 1 – 24983 – 8 บัญชีชื่อนายอุกฤษณ์ โจทก์ร่วม ต่อมาได้มีการถอนเงินจากบัญชีดังกล่าวเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2540 จำนวน 115,000 บาท วันที่ 8 ธันวาคม 2541 จำนวน 80,000 บาท วันที่ 21 มกราคม 2542 จำนวน 85,260 บาท วันที่ 29 มกราคม 2542 จำนวน 100,000 บาท วันที่ 25 มีนาคม 2542 จำนวน 300,000 บาท วันที่ 26 มีนาคม 2542 จำนวน 200,000 บาท วันที่ 5 เมษายน 2542 จำนวน 380,000 บาท วันที่ 30 เมษายน 2542 จำนวน 300,000 บาท วันที่ 2 มิถุนายน 2542 จำนวน 1,000,000 บาท วันที่ 15 มิถุนายน 2542 จำนวน 150,000 บาท วันที่ 27 สิงหาคม 2542 จำนวน 150,000 บาท วันที่ 3 กันยายน 2542 จำนวน 420,000 บาท วันที่ 30 กันยายน 2542 จำนวน 150,000 บาท วันที่ 15 ตุลาคม 2542 จำนวน 109,000 บาท วันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 จำนวน 312,030 บาท
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยเป็นผู้ปลอมและใช้คำขอเปิดบัญชีและใบถอนเงินทั้ง 15 ฉบับ ดังกล่าวหรือไม่ เห็นว่า ตามคำขอเปิดบัญชีของโจทก์ร่วมเอกสารหมาย จ. 1 มีสิบเอกสุรพงษ์เป็นผู้รับเปิดบัญชี ซึ่งได้ให้การว่า โจทก์ร่วมได้มาพบกับจำเลยซึ่งเป็นสมุห์บัญชีในวันเปิดบัญชีแล้วจำเลยนำเอกสารการเปิดบัญชีมามอบให้กับสิบเอกสุรพงษ์แล้วบอกว่าเปิดบัญชีออมทรัพย์ให้โจทก์ร่วมซึ่งเป็นสามีให้ด้วย และยังให้การต่อไปว่าไม่เห็นว่าผู้ใดเป็นผู้ลงลายมือชื่อในคำขอเปิดบัญชี ซึ่งคำขอเปิดบัญชีมีลายมือชื่อผู้ขอเปิดบัญชีเรียบร้อยแล้ว จากคำให้การของสิบเอกสุรพงษ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าขณะยื่นเอกสารให้กับสิบเอกสุรพงษ์ได้มีการลงลายมือชื่อในคำขอเปิดบัญชีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนที่ให้การว่าโจทก์ร่วมมาในวันเปิดบัญชีนั้นก็มิได้เป็นการยืนยันว่าโจทก์ร่วมจะเป็นผู้เขียนข้อความและลงลายมือชื่อต่อหน้าสิบเอกสุรพงษ์ที่เป็นเจ้าหน้าที่รับเปิดบัญชีในวันนั้น อีกทั้งนายแสงชัยก็เบิกความยืนยันว่า ตามคำขอเปิดบัญชีเอกสารหมาย จ. 1 ไม่อาจระบุได้ชัดว่าผู้ขอเปิดบัญชีจะมาเปิดบัญชีที่ธนาคารหรือไม่ ทั้งที่นายแสงชัยได้ทำงานร่วมกับจำเลยมาประมาณ 3 ปี ก็ไม่ได้เบิกความยืนยันว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้เขียนและมาลงลายมือชื่อที่ธนาคาร ประกอบกับรายงานการตรวจพิสูจน์ซึ่งมีจุดประสงค์ในการตรวจพิสูจน์ว่าลายมือชื่อเจ้าของบัญชีและช่องลายมือชื่อผู้รับเงินในใบถอนเงินของกลางทั้ง 15 ฉบับ จะเป็นลายมือชื่อของบุคคลใด ผลการตรวจพิสูจน์ปรากฏว่าคุณสมบัติของการเขียน รูปลักษณะของตัวอักษรเป็นอย่างเดียวกับตัวอย่างลายมือชื่อในคำขอเปิดบัญชีและบัตรตัวอย่างลายมือชื่อจำนวน 2 แผ่น ดังกล่าว จึงลงความเห็นว่าเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน ก็แสดงว่าผู้ที่ขอเปิดบัญชีและผู้ที่เบิกเงินจากใบถอนเงินทั้ง 15 ฉบับ เป็นลายมืออย่างเดียวกัน โดยไม่เหมือนกับตัวอย่างลายมือชื่อของโจทก์ร่วมที่เขียนให้ไว้กับพนักงานสอบสวน และตามรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารซึ่งมีจุดประสงค์ในการตรวจเพื่อทราบว่าลายมือเขียนกรอกข้อความและลายมือชื่อในคำขอเปิดบัญชีและบัตรตัวอย่างลายมือชื่อของกลางกับตัวอย่างลายมือชื่อของโจทก์ร่วมกับจำเลยจะเป็นลายมือชื่อของบุคคลใด ผลการตรวจพิสูจน์ปรากฏว่าคุณสมบัติของการเขียนรูปลักษณะตัวอักษรและตัวเลขเป็นอย่างเดียวกับตัวอย่างลายมือเขียนของจำเลยจึงลงความเห็นว่าเป็นลายมือเขียนของจำเลย เมื่อลายมือเขียนตัวอักษรของจำเลยที่เขียนไว้ในเช็คและปกหลังสมุดเช็คเป็นลายมือเขียนที่ตรงกับคำขอเปิดบัญชีและบัตรตัวอย่างลายมือชื่อดังกล่าวแล้ว ย่อมแสดงได้ว่าจำเลยเป็นผู้ปลอมคำขอเปิดบัญชีและตัวอย่างลายมือชื่อในคำขอเปิดบัญชีตามเอกสารหมาย จ. 1 ดังกล่าว แล้วนำไปยื่นต่อพนักงานของธนาคารดังกล่าว ทำให้พนักงานของธนาคารหลงเชื่อว่าเป็นคำขอเปิดบัญชีเงินฝากของโจทก์ร่วม จึงออกสมุดเงินฝากในนามของโจทก์ร่วมให้ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วมจึงเป็นการปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม
ส่วนผลการตรวจพิสูจน์ใบถอนเงินทั้งสิบห้าฉบับมีตัวอย่างลายมือชื่อในใบถอนเงินตรงกับลายมือชื่อในคำขอเปิดบัญชีและตัวอย่างลายมือชื่อตามเอกสารหมาย จ. 1 มีเหตุให้เชื่อว่าเป็นลายมือชื่อของโจทก์ร่วมในใบถอนเงินทั้งสิบห้าฉบับ และการที่จำเลยนำแบบพิมพ์ใบถอนเงินของธนาคารรวม 15 ฉบับ มากรอกข้อความโดยเขียนชื่อโจทก์ร่วมในช่องชื่อบัญชี เขียนเลขที่บัญชี จำนวนเงินและลงลายมือชื่อปลอมของโจทก์ร่วมในช่องเจ้าของบัญชีและช่องผู้รับเงินแล้วนำใบถอนเงินดังกล่าวไปยื่นต่อพนักงานของธนาคารดังกล่าว ทำให้พนักงานของธนาคารหลงเชื่อว่าเป็นใบถอนเงินที่แท้จริงจึงจ่ายเงินให้จำเลยไป แม้ว่าจะได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ร่วมว่า โจทก์ร่วมและบิดามิได้เปิดบัญชีตามเอกสารหมาย จ. 1 ซึ่งแสดงอยู่ในตัวว่าเงินในบัญชีดังกล่าวมิใช่เงินของโจทก์ร่วมและบิดา ซึ่งโจทก์ร่วมและบิดาอาจจะไม่ได้รับความเสียหายต่อทรัพย์สินโดยตรงก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับหลักฐานทางการเงินในนามของโจทก์ร่วมในระบบบัญชีธนาคารดังกล่าวให้แตกต่างไปจากความเป็นจริงอันจะเป็นผลให้โจทก์ร่วมและธนาคารดังกล่าวเสียชื่อเสียงไม่ได้รับความเชื่อมั่นไว้วางใจในสังคมและในการประกอบธุรกิจอันเป็นประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อโจทก์ร่วมและธนาคารดังกล่าวแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นการปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมรวม 15 กระทง ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยมานั้นหนักเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดเสียใหม่ให้เหมาะสมแก่รูปคดี
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวม 16 กระทง จำคุก 96 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์