แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การวินิจฉัยคดี เมื่อศาลชั้นต้นเห็นสมควรที่จะหยิบยกประเด็นข้อพิพาทข้อหนึ่งข้อใดขึ้นวินิจฉัยก่อน ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจกระทำเช่นนั้นได้ และเมื่อได้วินิจฉัยประเด็นข้อใดแล้วมีผลให้คดีเสร็จไปแล้วก็ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นอีก เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตามที่จำเลยให้การต่อสู้ย่อมเท่ากับคำฟ้องของโจทก์เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบเนื่องจากเสนอเข้ามาโดยบุคคลที่ไม่มีอำนาจประเด็นต่าง ๆ ตามคำฟ้องที่ไม่ชอบย่อมเป็นอันตกไปทั้งสิ้น ไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้อีก
จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกามาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนที่โจทก์ฟ้องทั้ง ๆ ที่จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีในศาลชั้นต้นจึงเป็นการไม่ถูกต้อง เพราะประเด็นตามอุทธรณ์และฎีกาของจำเลยมิได้มีผลเกี่ยวกับทุนทรัพย์ในคดี จำเลยจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกาอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์เพียงชั้นศาลละ 200 บาทเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลอาคารชุดตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มีนายสมบูรณ์ เกียรติเทพขจร เป็นผู้จัดการ และได้มอบอำนาจให้นายทรงศักดิ์ ดวงจักร ณ อยุธยา ฟ้องคดีนี้แทน จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดในอาคารชุดของโจทก์ 2 ห้อง คือห้องชุดเลขที่ 432/5 ชั้น 34 (34 เอ) และเลขที่ 432/82ชั้น 15 (15 บี) มีอัตราส่วนแห่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลาง 11,760 ส่วน และ 10,696ส่วนใน 1,134,609 ส่วน ตามลำดับ จำเลยในฐานะเจ้าของห้องชุดมีหน้าที่ตามกฎหมายและข้อบังคับของโจทก์ในอันที่จะต้องชำระค่าใช้จ่ายที่เกิดจากบริการส่วนร่วมตามส่วนแห่งประโยชน์ที่มีต่อห้องชุดและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ นับแต่วันที่โจทก์เริ่มดำเนินการตลอดมาทุกเดือน โดยห้องชุดทั้งสองห้องมีค่าใช้จ่ายตามส่วนแห่งประโยชน์ห้องละ 3,000 บาทและตามอัตราส่วนที่เจ้าของร่วมมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางสำหรับห้องชุดเลขที่ 432/5 เป็นเงิน 2,674 บาท จำเลยเพิกเฉยไม่ชำระตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2538 ถึงเดือนมิถุนายน 2541 คิดเป็นเงิน 418,104 บาท โจทก์มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนหรือค่าปรับจากจำเลยในอัตราร้อยละ 1.25 ต่อเดือน นับแต่วันครบกำหนดชำระคิดเป็นเงิน 96,686.64 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 514,790.64 บาท แก่โจทก์พร้อมทั้งค่าสินไหมทดแทนหรือค่าปรับในอัตราร้อยละ 1.25 ต่อเดือน ของต้นเงิน 418,104 บาทนับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยในประเด็นที่ว่า จำเลยผิดนัดชำระหนี้และต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เพียงใดเป็นการไม่ชอบ เพราะมิได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีให้ครบถ้วนนั้น เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นเห็นสมควรที่จะหยิบยกประเด็นข้อพิพาทข้อหนึ่งข้อใดขึ้นวินิจฉัยก่อน ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจกระทำเช่นนั้นได้ และเมื่อได้วินิจฉัยประเด็นข้อใดแล้วมีผลให้คดีเสร็จไปแล้วก็ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นอีก เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง สำหรับคดีนี้เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตามที่จำเลยให้การต่อสู้ และประเด็นข้อนี้ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพราะโจทก์มิได้อุทธรณ์ เท่ากับคำฟ้องของโจทก์เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบเนื่องจากเสนอเข้ามาโดยบุคคลที่ไม่มีอำนาจ ประเด็นต่าง ๆ ตามคำฟ้องที่ไม่ชอบย่อมเป็นอันตกไปทั้งสิ้น ไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้อีก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกามาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนที่โจทก์ฟ้องทั้ง ๆ ที่จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีในศาลชั้นต้นอันเป็นการไม่ถูกต้อง เพราะประเด็นตามอุทธรณ์และฎีกาของจำเลยมิได้มีผลเกี่ยวกับทุนทรัพย์ในคดี จำเลยจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกาอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์เพียงชั้นศาลละ 200 บาท เท่านั้น และต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกาส่วนที่เกินมาให้แก่จำเลย”
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกาส่วนที่เกินกว่าชั้นศาลละ 200 บาท แก่จำเลย