คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2118/2558

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 290 วรรคแปด บัญญัติว่า “ในกรณีเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาผู้ยึดสละสิทธิในการบังคับคดีหรือเพิกเฉยไม่ดำเนินการบังคับคดีภายในเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนด ผู้ขอเฉลี่ยหรือผู้ยื่นคำร้องตามมาตรา 287 หรือตามมาตรา 289 มีสิทธิขอให้ดำเนินการบังคับคดีต่อไป” บทบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์มิให้เกิดปัญหาในการที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีอื่นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาคนเดียวกันในคดีที่มีการบังคับคดียึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา รวมตลอดทั้งบุคคลภายนอกผู้ทรงสิทธิตามที่มาตรา 287 และมาตรา 289 บัญญัติไว้ จะได้รับการชำระหนี้หรือการคุ้มครองสิทธิของตนล่าช้า จึงกำหนดให้มีสิทธิขอให้ดำเนินการบังคับคดีในคดีที่ได้มีการบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไว้ก่อนแล้วต่อไปได้ แต่สำหรับคดีนี้ การที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและเป็นผู้ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 128135 เพื่อนำออกขายทอดตลาด ได้แถลงขอถอนการบังคับคดีโดยเหตุผลว่าจำเลยที่ 1 ยินยอมชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้ว ทั้งนี้เพราะหมดสิทธิที่จะบังคับคดีเอาแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 128135 ของจำเลยที่ 1 ซึ่งตนนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ ชอบที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะต้องถอนการยึดและรายงานต่อศาล จึงมิใช่เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ยึดสละสิทธิหรือเพิกเฉยในการบังคับคดี อันจะเป็นเหตุให้ผู้ร้องซึ่งใช้สิทธิขอรับชำระหนี้จำนองก่อนตามมาตรา 289 จะขอให้ดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้ตามบทบัญญัติแห่งมาตรา 290 วรรคแปด และชอบที่ผู้ร้องจะต้องดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ตามสิทธิของตนเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2541 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ให้เสร็จภายในกำหนด 8 เดือน นับแต่วันทำสัญญายอม หากผิดนัดยอมให้โจทก์ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 13484 และ 16290 ตำบลบางหัวเสือ (บางศีรษะเสือ) อำเภอพระประแดง (เมือง) จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และที่ดินโฉนดเลขที่ 23480 ตำบลพระยาบรรลือ (สิงหนาท) อำเภอลาดบัวหลวง (เสนาน้อย) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (กรุงเก่า) พร้อมสิ่งปลูกสร้าง นำออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์จนครบ หากขายทอดตลาดได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ ยินยอมให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์จนครบ แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอบังคับคดีนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด ต่อมาเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2550 โจทก์ขอยึดทรัพย์พิพาทของจำเลยที่ 1 เพิ่มเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 128135 ตำบลสามเสนนอก (สามเสนนอกฝั่งเหนือ) อำเภอห้วยขวาง (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งจำนองไว้แก่บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย ประกาศขายทอดตลาดเพื่อนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์
ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดก่อนเจ้าหนี้รายอื่น ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องรับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้รายอื่น
เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2553 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งพิจารณาคดีใหม่ กับขอเพิกถอนการสวมสิทธิและขอให้เพิกถอนการบังคับคดี
ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 1 และขอบังคับคดีโดยเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2550 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 128135 ตำบลสามเสนนอก (สามเสนนอกฝั่งเหนือ) อำเภอห้วยขวาง (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้าง เพื่อขายทอดตลาด ปรากฏว่าที่ดินแปลงนี้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนจำนองไว้ต่อบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ไทยเคหะ จำกัด เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2547 เพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ ต่อมาวันที่ 25 พฤษภาคม 2548 บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ไทยเคหะ จำกัด จดทะเบียนโอนสิทธิจำนองให้แก่บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย ครั้นวันที่ 15 มีนาคม 2550 บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัยทำสัญญาขายสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ซึ่งมีหนี้สินของจำเลยที่ 1 รวมอยู่ด้วย ให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด ผู้ร้องคดีนี้ และจดทะเบียนบันทึกข้อตกลงโอนสิทธิการรับจำนองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2550 โดยก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2550 บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัยและผู้ร้องมีหนังสือบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องไปยังจำเลยที่ 1 จากนั้นเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2551 ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 128135 ในฐานะเจ้าหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้รายอื่น ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2551 อนุญาตตามคำขอ แต่ขณะอยู่ระหว่างเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการจะขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 128135 โจทก์ได้ยื่นคำแถลงลงวันที่ 2 และวันที่ 8 ธันวาคม 2552 ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าจำเลยที่ 1 ยินยอมชำระหนี้ให้แก่โจทก์ จึงขอถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 128135 โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมถอนการยึดแก่เจ้าพนักงานบังคับคดี จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2553 ขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกการยึดที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นคดีนี้ พิเคราะห์แล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 1 ในประเด็นว่า เมื่อโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ขอถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 128135 ของจำเลยที่ 1 แล้ว ผู้ร้องในฐานะผู้รับโอนสิทธิจำนองมาจากบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งรับโอนสิทธิดังกล่าวมาจากบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ไทยเคหะ จำกัด มีสิทธิขอให้ดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้หรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคแปด บัญญัติว่า “ในกรณีเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาผู้ยึดสละสิทธิในการบังคับคดีหรือเพิกเฉยไม่ดำเนินการบังคับคดีภายในเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนด ผู้ขอเฉลี่ยหรือผู้ยื่นคำร้องตามมาตรา 287 หรือตามมาตรา 289 มีสิทธิขอให้ดำเนินการบังคับคดีต่อไป” บทบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์มิให้เกิดปัญหาในการที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีอื่นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาคนเดียวกันในคดีที่มีการบังคับคดียึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา รวมตลอดทั้งบุคคลภายนอกผู้ทรงสิทธิตามที่มาตรา 287 และมาตรา 289 บัญญัติไว้ จะได้รับการชำระหนี้หรือการคุ้มครองสิทธิของตนล่าช้า จึงกำหนดให้มีสิทธิขอให้ดำเนินการบังคับคดีในคดีที่ได้มีการบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไว้ก่อนแล้วต่อไปได้ แต่สำหรับคดีนี้ การที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและเป็นผู้ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 128135 เพื่อนำออกขายทอดตลาด ได้แถลงขอถอนการบังคับคดีโดยเหตุผลว่าจำเลยที่ 1 ยินยอมชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้ว ทั้งนี้เพราะหมดสิทธิที่จะบังคับคดีเอาแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 128135 ของจำเลยที่ 1 ซึ่งตนนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ ชอบที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะต้องถอนการยึดและรายงานต่อศาล จึงมิใช่เป็นกรณีที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาผู้ยึดสละสิทธิหรือเพิกเฉยในการบังคับคดี อันจะเป็นเหตุให้ผู้ร้องซึ่งใช้สิทธิขอรับชำระหนี้จำนองก่อนตามมาตรา 289 จะขอให้ดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้ตามบทบัญญัติแห่งมาตรา 290 วรรคแปด และชอบที่ผู้ร้องจะต้องดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ตามสิทธิของตนเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันมาให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 1 ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย และคดีไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ 1 อีกต่อไป เพราะไม่มีเหตุให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 128135 ตำบลสามเสนนอก (สามเสนนอกฝั่งเหนือ) อำเภอห้วยขวาง (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลเห็นสมควรให้เป็นพับ

Share