แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็น ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ผู้พิพากษาผู้พิจารณาไม่อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อเท็จจริง และเป็น ปัญหาที่มีผลกระทบต่อชีวิตครอบครัวและความเป็นอยู่ของจำเลย อย่างยิ่ง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 58)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4ลงโทษจำคุก 3 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การ พิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ เห็นสมควรลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงลงโทษจำคุก 1 เดือน 15 วัน
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 2 เดือนลดโทษกึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 1 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย(อันดับ 46 แผ่นที่ 2)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 51)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 221 นั้น เป็นอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจเฉพาะตัวของผู้พิพากษา ซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งไว้ใน ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ เมื่อสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดลงไปแล้ว ย่อมถึงที่สุดไม่อาจอุทธรณ์ฎีกาได้ สำหรับกรณีของจำเลย ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นสั่งไม่ อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแล้ว คำสั่งดังกล่าวจึง ถึงที่สุด ศาลฎีกาจึงไม่มีอำนาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ให้ยกคำร้อง