คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1617/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าประเภทธนาคาร ได้สั่งสมุดเช็คจากประเทศอังกฤษเข้ามาในประเทศไทย เพื่อใช้ในกิจการของโจทก์ โดยมอบให้ลูกค้าที่เปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารโจทก์ใช้สั่งจ่ายเงิน สมุดเช็คนั้นเป็นสินค้าอย่างหนึ่งตามประมวลรัษฎากรซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ.2504 อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะเกิดข้อพิพาทมาตรา 79 ทวิ(1) การนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าตามประเภทการค้า 1 ชนิด 1(ก) โดยมิใช่นำมาขายหรือผลิตเพื่อขายและสินค้าเหล่านั้นมิใช่เป็นของใช้ส่วนตัวซึ่งใช้กันตามปกติและตามสมควร ถือว่าเป็นการขายสินค้า สมุดเช็คที่โจทก์สั่งเข้ามามีราคาถึงสามแสนบาทเศษ มิใช่เป็นของใช้ส่วนตัวซึ่งใช้ตามปกติและตามสมควร โจทก์ย่อมเป็นผู้ประกอบการค้าสินค้าสมุดเช็ค ซึ่งตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีการค้า (ฉบับที่ 3) ให้ถือว่าผู้ประกอบการค้าที่เป็นผู้นำเข้าซึ่งสินค้าทุกชนิดได้ขายสินค้าในวันนำเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อคำนวณมูลค่าของสินค้าเป็นรายรับในการที่จะประเมินภาษีการค้า โจทก์จึงต้องเสียภาษีการค้าตามมูลค่าของสมุดเช็คซึ่งคำนวณได้ดังกล่าวในประเภทการค้า 1 การขายของ รายการที่ประกอบการค้า การขายสินค้าชนิด 1(ก)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบกิจการธนาคาร โจทก์ได้นำสมุดเช็คเข้ามาในราชอาณาจักร เป็นการที่โจทก์จัดทำเป็นการเฉพาะตัวในกิจการของโจทก์ แต่เจ้าพนักงานประเมินภาษีการค้าของจำเลยที่ได้ประเมินเป็นรายรับทั้งสิ้น 352,213.70 บาท และให้โจทก์ชำระค่าภาษีเงินเพิ่ม เบี้ยปรับภาษีบำรุงเทศบาล โจทก์อุทธรณ์จำเลยที่ 2, 3, 4 เป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ชี้ขาดว่าการประเมินถูกต้อง แต่ผ่อนผันลดเบี้ยปรับให้ กับลดภาษีบำรุงเทศบาลตามส่วน ซึ่งโจทก์ไม่เห็นด้วย ขอให้พิพากษาว่า คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2, 3, 4 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ และโจทก์ไม่พึงต้องเสียภาษีรวม 35,447.18 บาท

จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ เป็นว่า โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าสำหรับสินค้าสมุดเช็คที่โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์

จำเลยทั้งสี่ฎีกา

ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าประเภทธนาคารมีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้า ประเภทการค้า12 ธนาคาร โจทก์สั่งสมุดเช็คจากประเทศอังกฤษเข้ามาในประเทศไทยเพื่อใช้เองในกิจการของโจทก์ มีมูลค่าเป็นเงิน 332,213 บาท70 สตางค์ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า โจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าในฐานะผู้นำเข้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า 1การขายของรายการที่ประกอบการค้าการขายสินค้าชนิด 1(ก) สำหรับสมุดเช็คที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร ตามรายการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือไม่ ปัญหาดังกล่าวจะต้องวินิจฉัยตามประมวลรัษฎากรซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2504อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะเกิดข้อพิพาทคดีนี้ ประมวลรัษฎากรได้กำหนดบัญชีอัตราภาษีการค้าสำหรับผู้ประกอบการค้าแต่ละประเภทไว้ตามบัญชีอัตราภาษีการค้า ประเภทการค้า 1 การขายของ รายการที่ประกอบการค้า การขายสินค้าชนิด 1(ก) สินค้าและวัตถุพลอยได้นอกจากที่ระบุในชนิด 2 ถึงชนิด 9 และนอกจากที่ระบุในประเภทการค้าอื่นแล้วผู้ประกอบการค้าที่มีหน้าที่เสียภาษีการค้าคือผู้นำเข้าซึ่งสินค้าข้อเท็จจริงได้ความแล้วว่า โจทก์เป็นผู้สั่งสมุดเช็คเข้ามาในราชอาณาจักร จึงมีข้อที่จะต้องพิจารณาว่าสมุดเช็คเป็นสินค้าหรือไม่พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2493 ได้ให้ความหมายของคำว่า “สินค้า” ว่า “สิ่งของที่ซื้อขายกัน” นายประไพ โพธิ์เงิน พยานโจทก์เบิกความว่า ธนาคารโจทก์สั่งสมุดเช็คเข้ามาในประเทศไทยมีมูลค่าเป็นเงินประมาณ 300,000 บาทเศษ ฟังได้ว่าโจทก์ซื้อสมุดเช็คมาจากผู้อื่น สมุดเช็คเหล่านั้นย่อมมีสภาพเป็นสินค้าและโจทก์เป็นผู้นำเข้าซึ่งสินค้าสมุดเช็คการนำเข้าในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าประเภทการค้า 1 ชนิด 1(ก) โดยมิใช่นำมาขายหรือผลิตเพื่อขาย และสินค้าเหล่านั้นมิใช่เป็นของใช้ส่วนตัว ซึ่งใช้กันตามปกติและตามสมควร ถือว่าเป็นการขายสินค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 79 ทวิ(1) ทั้งตามมาตรา 77 บัญญัติว่า “การค้า” หมายถึง “การนำเข้า” ด้วยและ “ผู้นำเข้า” หมายความว่า “ผู้ประกอบการค้าที่สั่งหรือนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร” ตามบทบัญญัติดังกล่าว เพียงเป็นผู้นำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรถึงแม้ว่าจะมิได้นำสินค้าออกขายหรือผลิตเพื่อขาย ก็ถือได้ว่าผู้นำเข้าเป็นผู้ประกอบการค้าสินค้าเหล่านั้นตามความหมายของประมวลรัษฎากรแล้ว แต่มีข้อยกเว้นอยู่ว่าสินค้านั้นต้องมิใช่เป็นของใช้ส่วนตัวซึ่งใช้กันตามปกติและตามสมควรข้อเท็จจริงได้ความจากนายประไพ โพธิ์เงิน พยานโจทก์ว่าโจทก์สั่งสมุดเช็คเข้ามาเพื่อให้ลูกค้าที่เปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารโจทก์เซ็นเช็คสั่งจ่ายเงินเอาจากธนาคารโจทก์ได้ และสมุดเช็คดังกล่าวก็มีราคาถึง 300,000 บาทเศษ เห็นว่า สมุดเช็คที่โจทก์สั่งเข้ามาเพื่อใช้ในกิจการของโจทก์นั้น มิใช่เป็นของใช้ส่วนตัวซึ่งใช้กันตามปกติและตามสมควร จึงฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าสินค้าสมุดเช็ค อนึ่ง ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีการค้า (ฉบับที่ 3) เรื่องให้ถือว่าผู้ประกอบการค้าที่เป็นผู้นำเข้าได้ขายสินค้าในวันนำเข้าในราชอาณาจักร ตามเอกสารหมาย ล.1 ก็ให้ถือว่าผู้ประกอบการค้าที่เป็นผู้นำเข้าซึ่งสินค้าทุกชนิดได้ขายสินค้าในวันนำเข้าในราชอาณาจักรด้วย ทั้งนี้ เพื่อคำนวณมูลค่าของสินค้าเป็นรายรับในการที่จะประเมินภาษีการค้า เมื่อโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าสินค้าสมุดเช็ค ก็ต้องคำนวณมูลค่าของสินค้าสมุดเช็คเป็นรายรับของโจทก์เพื่อเสียภาษีการค้า ประเภทการค้า 1 การขายของชนิด 1(ก) อีกประเภทหนึ่งด้วย นอกเหนือจากรายรับของโจทก์ที่ระบุไว้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 79(3) ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าประเภทการค้า 1 การขายของ รายการที่ประกอบการค้าการขายสินค้า ชนิด 1(ก) สำหรับสินค้าสมุดเช็คที่สั่งเข้ามาในราชอาณาจักร การประเมินภาษีการค้าของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2, 3, 4 ชอบด้วยกฎหมายแล้ว

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share