แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงต้องกันว่า โจทก์ถูกจำเลยแย่งการครอบครอง เมื่อ พ.ศ. 2512 และโจทก์ฟ้องคดีเกินกว่า 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง จึงไม่มีสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาท โจทก์ฎีกาว่าจำเลยเคยให้คำรับรองว่าจะคืนที่ดินให้โจทก์ เจ้าพนักงานจดบันทึกให้จำเลยลงชื่อไว้เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2514 การฟ้องคดีต้องนับตั้งแต่วันดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 14 มกราคม 2515 ถือว่าโจทก์ฟ้องคดีภายในกำหนด 1 ปีตามกฎหมาย ดังนี้ ฎีกาของโจทก์เป็นเรื่องโต้เถียงว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2514 มิใช่ถูกแย่งการครอบครองเมื่อ พ.ศ. 2512 ดังที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาที่ว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองเมื่อไร อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องคดี เพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทได้หรือไม่ นั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ย่อยาว
คดีทั้ง ๔ สำนวนนี้ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่สำนวนบุกรุกที่ดินของโจทก์ เป็นเนื้อที่ ๓๐ ไร่, ๓๐ ไร่, ๓๒ ไร่ และ ๓๐ ไร่ ตามลำดับ ขอให้ขับไล่
จำเลยทั้งสี่สำนวนให้การว่า ที่ดินที่จำเลยครอบครองเดิมเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำเลยครอบครองมาเกิน ๑ ปีแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และคดีโจทก์ขาดอายุความ
คู่ความตกลงกันเรื่องทุนทรัพย์ของแต่ละคดี คือ ๔,๕๐๐ บาท, ๔,๕๐๐ บาท, ๔,๘๐๐ บาท และ ๔,๕๐๐ บาทตามลำดับ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มิได้ฟ้องคดีภายใน ๑ ปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๒ จึงไม่มีสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาท พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีนี้ทุนทรัพย์แต่ละสำนวนไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ จึงให้รับฎีกาแต่ข้อกฎหมายในเรื่องที่จำเลยเคยรับรองต่อโจทก์และทางอำเภอว่าจะยอมคืนที่ดินให้ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น จะทำให้โจทก์เรียกเอาที่พิพาทคืนหรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าโจทก์ถูกจำเลยแย่งการครอบครองเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๒ และโจทก์ฟ้องคดีเกินกว่า ๑ ปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง จึงไม่มีสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาท โจทก์ฎีกาว่าจำเลยเคยให้คำรับรองว่าจะคืนที่ดินให้โจทก์ เจ้าพนักงานจดบันทึกให้จำเลยลงชื่อไว้เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๑๔ การฟ้องคดีต้องนับตั้งแต่วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๑๔ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๑๕ ถือว่าโจทก์ฟ้องคดีภายในกำหนด ๑ ปี ตามกฎหมาย ได้พิเคราะห์แล้วฎีกาของโจทก์เป็นเรื่องโต้เถียงว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองเมื่อวันที่ ๑๕มกราคม ๒๕๑๔ มิใช่ถูกแย่งการครอบครองเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๒ ดังที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ข้อที่ศาลชั้นต้นหยิบยกขึ้นมาเป็นเหตุสั่งรับฎีกาของโจทก์โดยอ้างว่าเป็นข้อกฎหมายนั้น ก็เป็นข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในเรื่องโจทก์ถูกแย่งการครอบครองเมื่อไรนั่นเอง และข้อดังกล่าวนี้เป็นการฎีกาโต้เถียงว่า โจทก์ถูกแย่งการครอบครองเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๑๔ปัญหาที่ว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองเมื่อไร อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องคดี เพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทได้หรือไม่นั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของโจทก์ทั้งหมดจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘
พิพากษายกฎีกาของโจทก์