แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ชายตลิ่งของแม่น้ำ ถึงฤดูน้ำ น้ำท่วมราว 3 เดือนทุกปี ใช้เป็นที่จับปลา ถึงฤดูน้ำลดจึงเป็นที่ชายหาดต่อจากตลิ่งราษฎรใช้ทำการเพาะปลูกไม้ล้มลุกและธัญชาติ จึงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับราษฎรใช้ร่วมกันผู้ใดจะถือกรรมสิทธิหรือสิทธิครอบครองไม่ได้(อ้างฎีกาที่ 39/2495)
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้รวมพิจารณาพิพากษา โจทก์ฟ้องเป็นความทำนองเดียวกันทั้งสองสำนวนว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินสำนวนละแปลง โจทก์ได้แบ่งให้จำเลยทำ โดยมีข้อสัญญาว่าเมื่อครบ 3 ปีแล้วจำเลยต้องทำสัญญาเช่า ครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ยอมทำสัญญาเช่า เข้าแย่งยึดถือที่ดินของโจทก์ จึงขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์และขับไล่จำเลย
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นที่ลุ่มชายตลิ่งหน้าวัดสุวรรณารามของแม่น้ำแม่กลอง เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304, 1305
คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า ที่พิพาทเป็นที่ลุ่มในลำแม่น้ำแม่กลองเก่า ฤดูน้ำท่วมถึงทุกปี
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เอกชนไม่อาจยึดถือเอาเป็นกรรมสิทธิ์ได้ พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่พิพาทเป็นที่ว่างเปล่า ซึ่งโจทก์ยึดถือครอบครองได้ พิพากษากลับห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่พิพาทเป็นที่ชายตลิ่งของแม่น้ำแม่กลองตรงหน้าวัดสุวรรณารามถึงฤดูน้ำน้ำท่วมทุกปี ท่วมอยู่ราว 3 เดือนโจทก์ใช้ที่พิพาทกั้นเฝือกจับปลาในฤดูน้ำ ที่พิพาทจึงเป็นที่ชายตลิ่งของแม่น้ำแม่กลอง ถึงฤดูน้ำลดจึงเป็นชายหาดต่อจากตลิ่งลงมา ใช้เพาะปลูกไม้ล้มลุกและธัญญชาติได้ ที่พิพาทย่อมเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับราษฎรใช้ร่วมกัน โจทก์จำเลยไม่อาจมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองได้ (อ้างฎีกาที่ 39/2495) โจทก์จึงฟ้องขอให้แสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ไม่ได้ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์