คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2105/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 69 วรรคสาม ขยายความมาตรา 69 วรรคสอง เฉพาะความผิดฐานจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 2 ซึ่งเป็นมอร์ฟีน ฝิ่น หรือโคคาอีนที่มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัม มิได้ขยายความมาตรา 69 วรรคหนึ่ง ด้วย
จำเลยมีฝิ่นดิบหนัก 0.2 กรัม และมูลฝิ่นหนัก 0.94 กรัมไว้ในครอบครอง จึงต้องลงโทษจำเลยตามมาตรา 69 วรรคหนึ่ง
ศาลล่างวางโทษจำเลยตามมาตรา 69 วรรคหนึ่ง และมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 ซึ่งเป็นบทแก้ไขพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 69 วรรคสามและวรรคสี่ด้วยนั้นไม่ถูก ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเป็นไม่ปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2528 มาตรา 6

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีฝิ่นดิบหนัก ๐.๒ กรัม มูลฝิ่นหนัก ๐.๙๔ กรัม และสายชนวนฝักแคซึ่งเป็นวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๑๗, ๖๙, ๑๐๒ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๔, ๖, ๑๐ พระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๔, ๓๘, ๗๔ ฯ และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๑๗, ๖๙, ๑๐๒ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๔, ๖, ๑๐ และพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๔, ๓๘, ๗๔ ฯ ฐานมีฝิ่นดิบและมูลฝิ่นไว้ในครอบครอง ให้จำคุก ๖ เดือน ฐานมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง จำคุก ๑ ปีรวมจำคุก ๑ ปี ๖ เดือน จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๙ เดือน ริบของกลาง
โจทก์อุทธรณ์เป็นปัญหาข้อกฎหมายเฉพาะข้อหามีฝิ่นดิบและมูลฝิ่นว่าศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยต่ำกว่าอัตราโทษขั้นต่ำของกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๖๙ บัญญัติหลักการของการกระทำความผิดไว้ ๒ ประการประการแรก วางโทษผู้มียาเสพติดให้โทษประเภท ๒ ไว้ในครอบครองในวรรคหนึ่ง มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินห้าปีและปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท ประการที่สองวางโทษผู้จำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท ๒ ในวรรคสอง มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีและปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท จึงเห็นได้ชัดว่าอัตราโทษการจำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายจะสูงกว่าอัตราโทษการมีไว้ในครอบครอง เพราะการมีไว้ในครอบครองเป็นภัยเฉพาะตัวของผู้มีไว้ในครอบครองเท่านั้น แต่การจำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายเป็นภัยต่อสังคมเป็นอย่างมาก ถือเป็นการกระทำที่ร้ายแรง กฎหมายจึงมีเจตนารมณ์ที่จะวางโทษผู้จำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายหนักกว่าผู้มีไว้ในครอบครอง ฉะนั้นถ้าจะแปลความว่ามาตรา ๖๙ วรรคสาม ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๒๘ มีความหมายคลุมไปถึงวรรคหนึ่งด้วยแล้ว การมีมอร์ฟีนหรือโคคาอีนหรือฝิ่นไว้ในครอบครองกับการจำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษดังกล่าวจะมีอัตราโทษเท่ากัน ซึ่งไม่น่าเป็นเช่นนี้ เพราะผิดจากหลักการข้างต้น อีกประการหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราโทษของผู้มีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ คือ เฮโรอีนตามมาตรา ๖๗ ซึ่งกำหนดอัตราโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีและปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท จะเห็นว่าอัตราโทษของผู้มีเฮโรอีนไว้ในครอบครองต่ำกว่าอัตราโทษของผู้มีมอร์ฟีนโคคาอีนและฝิ่นไว้ในครอบครอง ซึ่งน่าจะไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพราะการกำหนดอัตราโทษน่าจะลดหลั่นกันลงมาตามความร้ายแรงของชนิดและประเภทของยาเสพติดให้โทษกล่าวคือ ในการกระทำความผิดอย่างเดียวกันอัตราโทษสำหรับยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ น่าจะสูงกว่ายาเสพติดให้โทษประเภทอื่น ด้วยเหตุผลดังกล่าว เห็นว่าข้อความในมาตรา ๖๙ วรรคสามขยายความในวรรคสอง คือหมายความเฉพาะความผิดฐานจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งมอร์ฟีนโคคาอีนและฝิ่นซึ่งมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัมเท่านั้น จำเลยมีฝิ่นดิบหนัก ๐.๒ กรัม กับมูลฝิ่นหนัก ๐.๙๔ กรัมไว้ในครอบครอง จึงต้องวางอัตราโทษตามมาตรา ๖๙ วรรคหนึ่งดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย อย่างไรก็ตามการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซี่งให้ปรับบทลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๖ ซึ่งเป็นบทแก้ไขพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๖๙ วรรคสาม และวรรคสี่นั้นไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๖๙ วรรคหนึ่ง ไม่ปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๖ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share