คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2100/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้จำเลยเสพเมทแอมเฟตามีนเพียงอย่างเดียวก็เป็นความผิดสำเร็จในทันทีที่เสพแต่ความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพวัตถุออกฤทธิ์ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ และฐานเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ขับรถยนต์ไปตามทางหลวงและทางสาธารณะโดยขณะขับรถได้เสพเมทแอมเฟตามีน การกระทำดังกล่าวยังอาศัยองค์ประกอบความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนประกอบกับการขับรถยนต์ด้วยจึงจะเป็นความผิด ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องว่าภายหลังจากจำเลยได้เสพเมทแอมเฟตามีนเข้าสู่ร่างกายแล้ว จำเลยได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถจึงเป็นความผิดที่เกิดจากการกระทำหลายอย่างประกอบกันซึ่งการเสพเมทแอมเฟตามีนเป็นเพียงองค์ประกอบความผิดส่วนหนึ่ง การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ1. จำเลยได้เสพเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 51 (พ.ศ. 2531) ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2531 ด้วยวิธีรับประทานอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย 2. ภายหลังเสพวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าว ตามฟ้องข้อ 1 แล้วจำเลยซึ่งได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกประเภท 3 เลขที่ 1 สท 00003/2534 ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ประจำรถโดยเป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุก คันหมายเลขทะเบียน 88 – 9499กรุงเทพมหานคร ไปตามถนนสายพิษณุโลก – หล่มสัก อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6,62 ตรี, 106 ตรี พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 ทวิ, 157 ทวิพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 102 (3 ตรี), 127 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และขอให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่มีกำหนดไม่น้อยกว่าหกเดือนหรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษฐานเสพวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จำคุก 1 ปี ฐานเป็นผู้ขับขี่แล้วเสพวัตถุออกฤทธิ์ลงโทษจำคุก 2 เดือน รวมเป็นลงโทษจำคุก 1 ปี 2 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 7 เดือน พิเคราะห์รายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยก่อนมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยประกอบอาชีพขับรถบรรทุกต้องตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้ใช้ถนน แต่จำเลยกลับเสพวัตถุออกฤทธิ์ในขณะขับรถซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ อันจะส่งผลกระทบต่อผู้อื่นได้ ไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษจำเลย และให้พักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของจำเลยมีกำหนด6 เดือน นับแต่วันมีคำพิพากษา

จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาโดยรอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษ

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำความผิดของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2535 มาตรา 62 ตรี ประกอบกับมาตรา 106 ตรี ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี และปรับ 20,000บาท ลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน และปรับ10,000 บาท จำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีและคุมความประพฤติ 1 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 เดือนต่อครั้ง ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 และให้พักใช้ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ของจำเลยมีกำหนด 6 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำความผิดฐานเสพวัตถุออกฤทธิ์ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518และความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่รถเสพวัตถุที่ออกฤทธิ์โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกพ.ศ. 2522 ตามฟ้องโจทก์เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันนั้น เห็นว่า แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวข้างต้นเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันโดยระบุในฟ้องข้อ 2 ว่า ภายหลังจากจำเลยได้เสพเมทแอมเฟตามีนตามข้อ 1เข้าสู่ร่างกาย จำเลยได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถ และแม้การเสพเมทแอมเฟตามีนเพียงอย่างเดียวจะเป็นความผิดสำเร็จในทันทีที่จำเลยเสพดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกาก็ตามแต่ความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพวัตถุออกฤทธิ์ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกและฐานเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ขับรถยนต์ไปตามทางหลวงและทางสาธารณะโดยขณะขับรถได้เสพเมทแอมเฟตามีน ก็เป็นการกระทำที่ยังอาศัยองค์ประกอบความผิดคือการเสพวัตถุออกฤทธิ์เมทแอมเฟตามีนประกอบกับการขับรถยนต์ด้วยจึงจะเป็นความผิด การกระทำผิดตามกฎหมายดังกล่าวจึงเป็นความผิดที่เกิดจากการกระทำหลายอย่างประกอบกันซึ่งการเสพวัตถุออกฤทธิ์เป็นองค์ประกอบความผิดส่วนหนึ่ง ดังนั้นการกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท หาใช่ความผิดหลายกรรมต่างกันตามฟ้องโจทก์ไม่ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น…”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์4 ครั้ง ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรและให้จำเลยละเว้นการเสพวัตถุออกฤทธิ์หรือยาเสพติดให้โทษทุกชนิด นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share