คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 21/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ตายชกต่อยและเตะจำเลยซึ่งเป็นภรรยาไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมการที่จำเลยไปหยิบอาวุธปืนมายิงผู้ตายในขณะนั้น จึงเป็นการกระทำไปโดยบันดาลโทสะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,91, 32, 33 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 6 กับให้ริบปลอกกระสุนปืนและหัวกระสุนปืนของกลาง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสามฐานฆ่าผู้อื่น จำคุก 15 ปี ฐานมีอาวุธปืนของผู้อื่นจำคุก 6 เดือนรวมจำคุก 15 ปี 6 เดือน ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพและนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกมีกำหนด 10 ปี 4 เดือน ริบปลอกกระสุนปืนและหัวกระสุนปืนของกลาง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 72 ให้จำคุก 4 ปี 6 เดือน คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี รวมกับโทษฐานมีอาวุธปืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นอีก 4 เดือน เป็นจำคุกทั้งสิ้น 3 ปี 4 เดือนนอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยได้ใช้อาวุธปืนสั้นขนาด .38 ซึ่งเป็นอาวุธปืนมีทะเบียนของนายสันติ นาคงาม ยิงร้อยเอกชมพู่ ศรีคต ผู้ตายสามีจำเลยซึ่งไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันถึงแก่ความตาย บาดแผลปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้องปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายไปโดยบันดาลโทสะหรือไม่ ในข้อนี้โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นส่วนจำเลยนั้นเบิกความยืนยันว่า จำเลยปลุกผู้ตายตื่นขึ้น แล้วขอให้ผู้ตายไปส่งจำเลยที่ประตูค่ายทหาร ผู้ตายไม่ยอมไป จำเลยกับผู้ตายจึงมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง ผู้ตายได้ตบตีจำเลยจำเลยจะวิ่งหนี แต่ผู้ตายก็ดึงจำเลยไว้พร้อมกับตบและเตะจำเลยจำเลยโมโหสุดขีดจึงคว้าอาวุธปืนที่วางอยู่ในห้องยิงผู้ตายพิเคราะห์คำเบิกความของจำเลยดังกล่าวแล้ว เห็นว่า ในชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การในวันเกิดเหตุว่า ผู้ตายชกต่อยและเตะจำเลย จำเลยจึงไปหยิบอาวุธปืนมายิงผู้ตายปรากฏตามเอกสารหมาย ป.จ.3ข้อเท็จจริงจึงเชื่อได้ว่า ผู้ตายชกต่อยและเตะจำเลย จำเลยจึงไปหยิบอาวุธปืนมายิงผู้ตาย พฤติการณ์ที่ผู้ตายชกต่อยและเตะจำเลยถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมการที่จำเลยไปหยิบอาวุธปืนมายิงผู้ตายในขณะนั้น จึงเป็นการกระทำไปโดยบันดาลโทสะ”
พิพากษายืน

Share