คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2092/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ความผิดข้อหามีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและข้อหาพาอาวุธปืนไปตามถนนอันเป็นสาธารณะ มีการกระทำที่แยกจากกันเป็นแต่ละฐานความผิดได้โดยชัดเจน ไม่เกี่ยวเนื่องกันและเจตนาในการกระทำความผิดก็เป็นคนละอย่างแตกต่างกัน ความผิดทั้งสองข้อหาจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3,6, 7 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 91, 371 ที่แก้ไขแล้ว และสั่งริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคแรก, 72, 72 ทวิวรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ข้อหามีอาวุธปืนไว้ในครอบครองลงโทษจำคุก 1 ปี ข้อหาพาอาวุธปืนที่มีไว้ในครอบครองติดตัวไปตามถนนอันเป็นทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 6 เดือน รวมลงโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เห็นสมควรลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 9 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาขึ้นมาในข้อที่ว่า ข้อหามีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และข้อหาพาอาวุธปืนไปตามถนนอันเป็นทางสาธารณะเป็นความผิดกรรมเดียวกันหรือไม่ เห็นว่า ความผิดทั้งสองข้อหามีการกระทำที่แยกจากกันเป็นแต่ละฐานความผิดได้โดยชัดเจน ไม่เกี่ยวเนื่องกันและเจตนาในการกระทำความผิดก็เป็นคนละอย่างแตกต่างจากกัน ความผิดทั้งสองข้อหา จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน”
พิพากษายืน.

Share